ช่วงขณะของการภาวนา ความรู้สึกเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เป็นภาวะความรู้สึกตัว ณ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ บางช่วงขณะจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดวิ่งวนไปที่เรื่องราวอดีตที่ผ่านมา และอาจพุ่งไปข้างหน้ากับอนาคตที่มีบางเรื่องราวรอคอยอยู่ เนื้อหาสาระที่ครุ่นคิดอาจเป็นเรื่องราวของตัวเรา สลับไปมากับเรื่องราวของคนอื่นทั้งที่ใกล้หรือไกลจากตัวเรา แต่ทันที่ที่ความรู้สึกตัวทำงานหรือระลึกขึ้นได้ จิตใจก็คืนกลับสู่ความรู้สึกตัว สู่ปัจจุบันขณะ ไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีการแบ่งแยกเรา หรือเขา หลายคนหวาดกลัวการปฏิบัติภาวนา สาเหตุสำคัญคือ การปฏิบัติภาวนาทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเองว่าเราเป็นใคร ซึ่งหมายถึงการต้องเผชิญหน้ากับตนเองซึ่งหลายคนไม่พร้อมกับการเผชิญหน้าเช่นนี้ มองไม่เห็นความสำคัญ ความจำเป็นของการดำเนินชีวิตที่มีความรู้สึกตัว
อุปนิสัย คือความเคยชินที่สั่งสมและมีอยู่ในตัวเรา เราทุกคนต่างมีที่มา มีราก เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์รอบตัวจากครอบครัว จากโรงเรียน สภาพแวดล้อม อดีตจึงเป็นเหมือนดินแดนที่เราได้เคยท่องเที่ยว แวะเวียน เยี่ยมเยือน มนตร์เสน่ห์ของดินแดนแห่งนี้ คือ การมีมนต์ขลังที่ขับเคลื่อนอยู่ และมนต์ขลังนี้ก็ทำให้หลายคนต้องติดจมและถูกกักขังในดินแดนนี้ มีอดีตเป็นภาระตามหลอกหลอน หากว่าอดีตที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์เชิงบวก มนต์ขลังที่เกิดขึ้นคือ ปฎิกิริยาอารมณ์ความรู้สึกของความห่วงหาอาลัย แม้กาลเวลาผ่านไปอดีตนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เราผูกพัน และต้องการให้ความสุขนั้นเวียนกลับมา นอกเหนือจากความอาลัยอาวรณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ด้วยคือ ความรู้สึกปวดร้าว เศร้า ผิดหวังเสียใจ เมื่อความสุขในอดีตสูญหายไป ไม่กลับมา
บ่อยครั้งโฉมหน้าความทุกข์ของหลายคนจึงมักเกี่ยวข้องกับการพลัดพรากสูญเสีย อาลัยและโหยหา พลังชีวิตของหลายคนที่ติดจมอดีตจึงไม่สามารถถูกใช้เพื่อความงอกงามของชีวิตได้ แต่ต้องถูกใช้ ถูกติดค้าง และถูกขังจมกับอดีต การติดยึดนี้ทำให้เราติดจมความทุกข์ ในอีกทางอดีตบางอย่างเราก็อยากหนีห่าง อยากหลงลืม แต่ไม่สามารถหลบหนีได้ เปรียบเหมือนชนักที่ปักติดกลางหลังไม่สามารถไถ่ถอนออกได้ ประสบการณ์ที่ประสบจึงมักเป็นความเศร้า เสียใจ รู้สึกผิด หรือละอายใจยามเมื่อคิดถึงบาดแผล เรื่องเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น ยามครุ่นคิดอดีตเช่นนี้ ปฎิกิริยาที่เกิดขึ้นจึงเป็นบาดแผลที่ยังไม่ได้ชำระล้างติดค้างอยู่
และเพราะชีวิตต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า การอยู่กับปัจจุบันจึงมักถูกหลงลืมและผลักไสให้ไปครุ่นคิดถึงอนาคต ความรู้สึกนึกคิดที่พุ่งไปในอนาคตมี ๒ ลักษณะสำคัญคือ ความวิตกกังวลอันเนื่องจากความไม่รู้ ความกลัวต่อสิ่งที่คาดหมายไม่ได้ และความวิตกกังวลนี้สามารถสั่งสมกลายเป็นความเครียดที่รุมเร้าเนื่องเพราะการไม่สามารถสลัดหลุดจากความวิตกกังวลถึงอนาคตได้ ในอีกลักษณะคือ การครุ่นคิดถึงอนาคตเพื่อสร้างความคาดหวังในอนาคตที่จินตนาการไปล่วงหน้า การมีความฝันและจินตนาการถึงสภาพที่อยากให้มี ให้เป็น
ทั้งภาวะติดจมในอดีต และภาวะเฝ้าฝันกังวลถึงอนาคต คือกับดักสำคัญที่พรากตัวเราออกจากความรู้สึกตัว ภาวะปัจจุบันขณะที่เป็นไป และการหมกหมุ่นกับอดีต หรือกังวลต่ออนาคตมากเกินไป ติดยึดเกินไป ก็ทำให้พลังชีวิตถูกขัดขวางและใช้ไปกับการยึดติดนี้
หนทางใดบ้างที่ช่วยเราเป็นอิสระจากอดีต และปัจจุบัน
เรื่องราวในอดีต เปรียบได้กับก้อนหินเล็กใหญ่ที่เรายังแบกติดหลังอยู่ ขนาดของก้อนหินสะท้อนได้กับน้ำหนักของก้อนหินที่เรายึดติดและแบกน้ำหนักอยู่ หนทางของการเป็นอิสระจากน้ำหนักของอดีตที่ผ่านมาก็คือ การวางก้อนหินลงนั่นเอง การปล่อยวางจึงเป็นวิถีทางเดียว ทั้งโดยการให้อภัย รวมไปถึงการยอมรับกับสิ่งที่ผ่านมา การยอมรับ ทำความเข้าใจ และปล่อยวาง จึงเป็นเสมือนการปลอดปล่อยให้ตัวเราเป็นอิสระจากน้ำหนักของอดีตหรือก้อนหินที่แบกรับอยู่ ขณะที่เรื่องราวอนาคตที่เราครุ่นคิด เฝ้าฝัน จึงเป็นเสมือนเมฆหมอกที่เราพยายามไขว่คว้า จับต้อง แรงผลักของการพยายามไขว่คว้าทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อย เครียด กังวล มีแต่การปล่อยวางอาการไขว่คว้าและไว้วางใจกับความเป็นไป อันเนื่องจากการอยู่กับปัจจุบันขณะ และสร้างเหตุปัจจัยเพื่อไปสู่อนาคต แทนการครุ่นคิดกังวล
กระบวนการปล่อยวางอดีต จึงไม่สามารถเกิดขึ้นเพียงการคิดนึก แต่เริ่มต้นด้วยการยอมรับ และขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความเข้าใจ เรียนรู้และสืบค้นเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งการยอมรับก็จะช่วยให้พลังชีวิตไม่ต้องถูกใช้สิ้นเปลืองไปกับการไม่ยอมรับความจริง การต่อต้านปฏิเสธ การไม่ยอมรับความจริง จึงเป็นการวิ่งชนกำแพงที่มีแต่ความทุกข์และเจ็บปวด ขณะเดียวกันนอกเหนือจากการยอมรับ การปล่อยวางอดีตต้องอาศัยความฉลาดในสติปัญญาในการมองเห็นความจริงและเข้าใจชีวิต ขณะที่การปล่อยวางจากการวิตกกังวลในอนาคตก็ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในความจริง และในสติปัญญา ทั้งยังเป็นศาสตร์และศิลป์ถึงการยอมรับในความเป็นไปว่า อนาคตมาจากปัจจุบันที่ดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสม เราไม่สามารถทำอะไรอนาคตได้ สิ่งที่เราทำได้คือ การทำภาวะที่นี่และเดี๋ยวนี้ด้วยการสร้างเหตุ ปัจจัย ความพร้อมในปัจจุบัน ที่จะนำไปสู่อนาคตที่พึงประสงค์แทนการกังวล เช่น เริ่มต้นการออมในปัจจุบันเพื่ออนาคตที่มั่นคง ปลอดภัย แทนการกังวลต่ออนาคตโดยไม่ลงมือกระทำสิ่งใดเพื่อส่งเสริมให้เกิดอนาคตที่ต้องการ
เรื่องราวในอดีต เปรียบได้กับก้อนหินเล็กใหญ่ที่เรายังแบกติดหลังอยู่ ขณะที่เรื่องราวในอนาคตก็เป็นเสมือนเมฆหมอกที่ทำให้เราเครียดและเหน็ดเหนื่อย จากการพยายามครุ่นคิดและกังวล
อดีต พร้อมที่จะเป็นรากฐานชีวิตเพื่อไปสู่อนาคตที่ดีงาม หากว่าเราเรียนรู้จากอดีต แม้อดีตจะมีบาดแผล มีความทุกข์ทรมาน แต่บาดแผลก็ทำให้เราเติบโต งอกงามได้ และหากเราไม่ฉลาดในการเรียนรู้ อดีตก็จะกลายเป็นขื่อคาที่กดทับให้ชีวิตปัจจุบันไร้สุข ทุกข์ทรมานเพราะการไม่ปล่อยวางอดีต ชีวิตก็ไม่สามารถงอกงามได้ และส่วนของอนาคตที่อาจเป็นไปได้ในฐานะม่านหมอก หากว่าเราอยู่กับภาพความคิด จินตนาการโดยไม่รับรู้หรือปฏิเสธความจริง แต่การครุ่นคิดถึงอนาคตในฐานะแสงเทียนนำทาง การครุ่นคิดเช่นนี้ก็ช่วยทำให้เราอยู่กับปัจจุบันอย่างเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับอนาคตที่กำลังก้าวไป
อดีต จึงเป็นได้ทั้งรากฐานหรือขื่อคาของชีวิต อนาคตเป็นได้ทั้งม่านหมอกหรือแสงเทียนนำทาง ขึ้นกับท่าทีที่เราแต่ละคนต้องเลือกสรรและจัดวางชีวิต ภารกิจนี้เราทุกคนต้องทำด้วยตนเอง