แง่มุมของความสุข

พระวิชิต ธมฺมชิโต 2 พฤษภาคม 2010

พูดถึงความสุขใครๆ ก็อยากมี อยากครอบครองกันทั้งนั้น แต่พอถามต่อไปว่า แล้วความสุขแบบไหนล่ะที่เราต้องการ คำตอบที่ได้คงแตกต่างกันไปมากมาย

แต่เรามักสรุปลงง่ายๆ ว่า ‘ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน’

เหมือนกับจะยอมรับว่าเรื่องของความสุขความพึงพอใจเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน เป็นเรื่องต่างจิตต่างใจ เป็นเสรีภาพที่คนเราจะเลือกชอบหรือสนใจในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ได้

การมองความสุขในลักษณะนี้ได้เปิดโอกาสให้แต่ละคนแสวงหาสิ่งที่ตนพอใจได้อย่างเต็มที่ อาจจะมีกำกับไว้เพียงเล็กน้อยว่าความสุขที่แสวงหานั้น จะต้องไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

ไม่ว่าจะมองไปแห่งหนไหนในสังคมยุคนี้ ดูเหมือนว่าช่องทางในการแสวงหาความสุขจะมีมาเสนอให้เลือกมากมาย คนส่วนใหญ่ก็ดูพอใจกับทางเลือกในการแสวงหาความสุขที่ตนเองได้รับ

เรามีอาหารนานาชนิดให้ลิ้มรสในร้านที่มีบรรยากาศแตกต่างกันให้เลือก มีแหล่งบันเทิงหลายประเภทให้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเที่ยว มีเสื้อผ้าแบบใหม่ๆ ให้เลือกกันละลานตา มีสถานที่ท่องเที่ยวประเภท unseen ที่เรายังไม่เคยได้พบเห็นอีกมากมายที่รอให้เราไปสัมผัส

แต่ท่ามกลางความหลากหลายที่มีให้เลือกนั้น ในอีกมุมมองหนึ่งเราจะพบว่าเราถูกจำกัดทางเลือกในการมีความสุขไว้อย่างคับแคบ ความหมายของ ‘ความสุข’ เพียงบางแบบเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการโฆษณาและการตลาด

ความหลากหลายที่เห็นหรือเสรีภาพในการเลือกที่เรามี ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาที่ระบบตลาดสร้างขึ้นมา ให้เรารู้สึกเหมือนกับว่าได้เลือกแล้ว

แต่เราถูกจำกัดให้เลือกเฉพาะสิ่งที่เขาเลือกมาให้เราเลือกเท่านั้น

สุดท้าย ความสุขของเราจึงถูกจำกัดขอบเขตลงให้เหลือเพียงช่วงแคบๆ ของชีวิตเท่านั้น

อาหารที่จะอร่อยได้ ต้องแพง ต้องหรู อยู่ในห้องแอร์ มีดนตรี มีบริกรประจำโต๊ะเท่านั้น เกมโชว์ต้องตื่นเต้นเร้าใจอยู่ตลอดเวลา ผู้เล่นต้องดูฉลาด หน้าตาดี มีเงินเยอะๆ มาล่อถึงจะน่าติดตาม ส่วนภาพยนตร์ก็ต้องยิ่งใหญ่สมจริงหรือเกินจริงได้ยิ่งดี แม้แต่โรงพยาบาลดีก็ยังต้องดูเนี้ยบ เจ็บตัวน้อย หายเร็ว และมียาแพงๆ เท่านั้นจึงจะเยี่ยม

ไม่เว้นแม้แต่การทำบุญ เราก็ยังหวังว่าจะเป็นวัดที่จัดเครื่องทำบุญไว้ให้อย่างพร้อมเพรียง ต้องได้ทำบุญกับพระผู้ใหญ่ มีห้องปรับอากาศไว้สำหรับฝึกสมาธิ เป็นต้น

ความสุขที่เรามีอยู่ทุกวันนี้จึงเหลืออยู่เพียงความสุขแคบๆ ที่ขึ้นอยู่กับการใช้สินค้าและบริการเพื่อความสบายกายสบายใจเป็นหลัก

ท่ามกลางความหลากหลายที่มีให้เลือก เรากลับถูกจำกัดทางเลือกไว้อย่างคับแคบ

การมีชีวิตที่ชาชินอยู่กับความสะดวกสบายสำเร็จรูปที่ซื้อหามานั้น บ่อยครั้งทำให้เราเป็นทุกข์มากขึ้น ร้อนไปนิด เค็มไปหน่อย รอนานไปบ้าง ก็อารมณ์เสียไปหมด ทำให้เราหงุดหงิดง่าย และมีความสุขยากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การเคยชินอยู่กับความสุขแบบเดิมนานเข้าก็เบื่อ ต้องขวนขวายหาสิ่งที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นไปอีก นั่นหมายถึงต้องใช้เงินมากขึ้น ต้องแข่งขันหาเงินมากขึ้น แล้วก็ใช้ชีวิตคร่ำเคร่งกับงานมากขึ้นอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ขณะที่เราเพลิดเพลินกับความสุขที่สังคมบรรจงกำหนดขึ้นนี้ ก็ได้ทำให้เรามองข้ามความสุขที่เราได้มาเปล่าๆ ว่าเป็นสิ่งที่ด้อยค่าลง

เรายอมสละเวลาแห่งความสุขที่จะได้อยู่กับคนรักในตอนนี้ ไปทุ่มกับงานโดยคิดว่าจะทำให้มีความสุขกว่าในอนาคต โดยลืมมองไปว่าช่วงเวลาแบบนี้อาจจะไม่มีอีกแล้วในตอนนั้น

ถึงตอนนี้… ถ้าพอมีเสี้ยวเวลาว่างอยู่บ้าง อยากชวนกันมองความสุขในชีวิตของเราอีกครั้ง ลองดูซิว่าตอนนี้เราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า เราติดอยู่เฉพาะความสุขแคบๆ ที่เขาล่อหลอกให้เราคิดว่าเลือกได้อย่างไม่มีข้อจำกัดหรือเปล่า

แล้วค่อยๆ ค้นหาความสุขส่วนตัวที่ไม่ต้องใช้เงิน ลองมองหาความสุขที่เกิดจากการทำให้คนคนหนึ่งยิ้มได้ ความสุขที่ได้ทำกับข้าวกินกันเอง หรือความสุขที่เกิดจากจิตใจที่สงบเย็น

ยิ่งเรามีช่องทางหาความสุขเหล่านี้มากขึ้นเท่าไร แง่มุมของชีวิตที่มีความสุขของเราก็จะยิ่งกว้างขวางขึ้น จนเรามีความสุขได้ในทุกๆ ขณะของชีวิต

ถึงตอนนั้นเราอาจได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ว่า ไม่เห็นมีอะไรที่จะต้องทุกข์เลย


ภาพประกอบ