นิทานเซนเรื่องหนึ่ง เล่าว่ามีคหบดีคนหนึ่งพร้อมบุตรหลานไปทำบุญที่วัดในวันขึ้นปีใหม่ เสร็จแล้วก็ขอพรจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส พระท่านก็เขียนคำอวยพรให้ว่า “พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย” คหบดีเห็นเข้าก็โกรธ ต่อว่าหลวงพ่อว่าเหตุใดจึงมาแช่งกันในวันมงคลเช่นนั้น หลวงพ่อตอบคหบดีว่า การตายตามลำดับอายุขัยเป็นพรอย่างยิ่งแล้ว เพราะลองคิดดูว่าหากหลานตายก่อนปู่ หรือลูกตายก่อนพ่อ ตายอย่างไม่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะมิยิ่งโศกเศร้าหรอกหรือ คหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อให้ จึงขออภัยและคำนับขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งในธรรมที่ได้รับในวันขึ้นปีใหม่
ในวิถีแห่งพุทธนั้น “ความตาย” เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคล ต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้ ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย ในด้านหนึ่งความ “กลัวตาย” จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิตคือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา (แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนและจะมาเมื่อไร) การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาวและเป็นไม้ใกล้ฝั่ง มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา
ในวัฒนธรรมของชาวพุทธ การหมั่นเจริญมรณานุสติคือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต ด้วยการเอาความตายเป็นทางออกโดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญนั้น ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไปตราบที่ยังมีลมหายใจ
กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกันหลายช่วงอายุ การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะธรรมเนียมการเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ การตั้งศพ-เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา
ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญของการส่งผ่าน “สัจธรรมแห่งการตาย” ให้แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้ ไม่ว่าบทสวดต่างๆ ของพระซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล พิธีตัดทางกล้วยเพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ ล้วนส่งผ่านความเชื่อว่าความตายมิใช่ “การสิ้นสุด” หรือจบสิ้น จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา เพื่อให้ญาติพี่น้องคลายความเศร้าโศกเพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว เกิดความปลงสังเวชตัดอาลัยในรูปกาย รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ
การเรียนรู้นี้ มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติแก่คนทั้งชุมชนด้วย จากการมาร่วมพิธีกรรมต่างๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึกเอื้ออาทรและทรัพยากรที่ตนเองมีเพื่อช่วยจัดการศพ มีการขอขมาและการให้อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้ ควรให้อภัยแก่กันและกัน และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ ก็เป็นโอกาสให้คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกันเฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกายที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้ เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ
สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรมซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับความตายเลือนหายไป ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย จะมานึกถึงต่อเมื่อความตายเข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย “ไม่เป็นวิทยาศาสตร์” โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรมไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว หากจะต้องมีรูปแบบหรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้ จนเกิดความ “ประจักษ์แก่ใจ” ในสัจธรรมร่วมกัน
ในวิถีแห่งพุทธนั้น “ความตาย” เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง หาใช่ความอัปมงคลที่ต้องวิ่งหนีแต่อย่างใด
ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเองหรือสังคมและโลก สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ
อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ อยากมี อยากเป็นให้สุดๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง (ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน) แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์ที่พยายามจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ และทุรนทุรายจากความพยายามที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้งนรกและสวรรค์ในเวลาเดียว ขึ้นอยู่กับว่า เราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิดและการใช้ชีวิตในสังคม จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้
บางทีการได้เจริญมรณานุสติอาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า เลือกตั้งได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลานและมนุษยชาติไปเนิ่นนาน ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว
บทความเนื่องในโอกาสครบรอบ ๙ ปี แห่งการฌาปนกิจศพท่านพุทธทาสมหาเถระ วันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐ วันดังกล่าวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะถือเป็นวันแสดงอาจาริยบูชาประจำปีแด่ท่านอาจารย์ด้วย
“โลงศพของอาตมาก็คือ ความดีที่ทำไว้ในโลกด้วยการเผยแผ่พระธรรม ป่าช้าสำหรับอาตมาก็คือบรรดาประโยชน์และคุณทั้งหลายที่ทำไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ และขอชักชวนให้ท่านทั้งหลาย ถือหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันว่า โลงศพของเราก็คือความดีที่ทำไว้ในโลก ป่าช้าของเราก็คือประโยชน์ทั้งหลายที่เราได้ช่วยกันทำไว้ เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์”
– พุทธทาส อินทปัญโญ –