1. การที่เราจะให้อภัยใครสักคน เราควรบอกคนนั้นให้รู้ หรือไม่คะ

ไม่จำเป็น เพราะการให้อภัยเป็นการปัดเป่าความโกรธไปจากจิตใจของเรา ไม่ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่น อีกทั้งคนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการให้อภัย คือตัวเราเอง ดังนั้นถ้าเรารักตัวเองจริง ๆ เราควรรู้จักให้อภัย ส่วนคนอื่น รวมทั้งคู่กรณี จะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของเขา
2. พระอาจารย์มองว่าการพึ่งพา AI ในการคิดหาคำตอบหรือการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จะส่งผลให้ความสามารถในการรู้ทันความคิดของเราลดลงหรือไม่คะ และเราจะฝึกฝนให้รู้เท่าทัน ทั้งความคิดของตนเองและข้อมูลที่ AI สร้างขึ้นมาได้อย่างไร

การพึ่งพาAI มีผลเสียคืออาจทำให้เราไม่สามารถคิดด้วยตนเองได้ พูดง่าย ๆ คือคิดไม่เป็น ส่วนการรู้ทันความคิด ต้องอาศัยสติ ซึ่งจะทำงานได้ดีและว่องไว ต่อเมื่อเราฝึกฝนตนหรือเจริญสติอยู่เสมอ อันนี้เป็นคนละส่วนกับการใช้AI แต่ข้อดีคือ หากเรารู้ทันความคิดของตนเอง ไม่เชื่อความคิดที่เกิดขึ้นในใจเราง่าย ๆ ก็จะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อคำตอบของAI แม้จะถูกใจเราหรือแม้ดูน่าเชื่อถือ (เพราะเป็นAI รุ่นใหม่)
จะว่าไปแล้ว สมัยนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง “กาลามสูตร” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้คนมาก โดยเฉพาะข้อที่ว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับความคิดของเรา” และ “อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์” ยิ่งกว่านั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา” ถ้าขยายความให้เข้ากับยุคAI ก็หมายความว่า “อย่าปลงใจเชื่อเพราะเป็นคำตอบที่มาจาก AI” เพราะแม้จะเป็นคำตอบจากAI ก็มีโอกาสผิดพลาดได้ทั้งนั้น
3. กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ แม่ชีต้องหาหมอที่รักษาเป็นหมอผู้ชาย ไม่สามารถพบหมอผู้หญิงได้และจำเป็นต้องตรวจแบบสัมผัสร่างกาย ถือว่าผิดศีลข้อ 3 ของศีล 8 หรือไม่และต้องปฏิบัติตนอย่างไร

ไม่ผิดศีลข้อดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะศีลข้อนี้หมายถึงความจงใจละเว้นการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแตกต่างจากการสัมผัสร่างกายโดยเพศตรงข้ามมาก หากแม่ชีไม่ได้มีข้อห้ามการสัมผัสผู้ชายหรือห้ามผู้ชายสัมผัสตัว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าหมอผู้ชายจะมาสัมผัสตัวเพื่อการรักษา
4. การทำงานที่เป็นหน้าที่กับหลักการวางอุเบกขา จะใช้ร่วมกันได้อย่างไรคะ บางครั้งสับสนว่าการที่เราไม่ทำอะไรหรือไม่แสดงความคิดเห็น จะเป็นการละเลยหน้าที่ หรือไม่ช่วยเหลือผู้อื่นรึเปล่าคะ

ไม่ได้ขัดกันเลย อุเบกขาช่วยให้เราวางใจได้ถูกต้องเมื่อทำเต็มที่แล้วไม่เกิดผลที่คาดหวัง ก็ไม่เป็นทุกข์ ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น ก็ควรทำให้เต็มที่ก่อน เช่น มีน้ำใจต่อผู้อื่น (เมตตา) ช่วยเหลือเขาเมื่อเห็นเขาเดือดร้อน (กรุณา) แต่เมื่อช่วยแล้ว ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ หรือถ้าช่วยมากกว่านี้ก็จะเกิดผลเสียตามมา ก็ยอมรับด้วยใจสงบ อย่างนี้เรียกว่ามีอุเบกขา แต่ถ้าวางเฉยโดยไม่ทำอะไรเลยตั้งแต่แรก ไม่เรียกว่ามีอุเบกขา
5. เวลาที่มีคนในครอบครัวเจ็บป่วย หรือตัวเราเองเจ็บป่วย และหาที่พึ่งทางใจ ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนมักแนะนำให้สวดมนต์บทโพชฌังคปริตร เพราะเชื่อว่าจะช่วยขจัดโรคภัยไข้เจ็บ ช่วยต่ออายุคนป่วยได้ อยากทราบว่าในมุมมองพระอาจารย์เรื่องการสวดมนต์ โดยเฉพาะบทโพชฌังคปริตรว่าสามารถช่วยรักษาเยียวยากายใจผู้ป่วยได้จริงหรือไม่ อย่างไรคะ
บทสวดโพชฌังคปริตรนั้น จะมีอานิสงส์ก็ต่อเมื่อทั้งผู้สวดและผู้ป่วยมีความเข้าใจและศรัทธาในโพชฌงค์ ๗ อันเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ เมื่อได้ฟังแล้วนำเอาธรรมทั้ง ๗ (คือ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา)มาพิจารณา หรือน้อมนำมาใส่ใจ ก็จะมีผลดีต่อจิตใจ จนสามารถยกจิตเหนือความทุกข์หรือทุกขเวทนาอันเกิดจากความเจ็บป่วยได้ จิตที่มีธรรมดังกล่าวหล่อเลี้ยงในบางกรณีก็ช่วยให้กายหายป่วยได้เลย
แต่ถ้าผู้สวดและผู้ฟัง(คือผู้ป่วย)ไม่มีความเข้าใจหรือศรัทธาในโพชฌงค์ ๗ บทสวดนี้ก็มีอานิสงส์น้อย แต่ผู้ป่วยอาจเกิดปีติหรือความอบอุ่นใจได้เมื่อได้ฟังบทสวดนี้ แต่นั่นเป็นเพราะผู้ป่วยมีศรัทธาในบทสวดนี้ หรือเชื่อมั่นในอานุภาพของบทสวดนี้ว่าจะช่วยให้หายป่วยได้ ความเชื่อนั้นมีผลต่อจิตใจ ดังนั้นเมื่อเชื่อว่าบทสวดนี้มีอานุภาพช่วยให้หายป่วยได้ ผู้ป่วยก็จะรู้สึกดีขึ้น หากป่วยไม่มาก ก็สามารถหายป่วยได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะความเชื่อหรือศรัทธาของผู้ป่วยในบทสวดดังกล่าวเป็นประการสำคัญ
6. มีความเครียดจากการทำงานค่ะ ไม่ได้มาจากงาน แต่มาจากเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนท็อกซิก ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และเป็นความถูกต้อง (คนอื่นผิดเสมอ) การที่เขามีตำแหน่งใหญ่โต เลยทำให้ไม่มีใครกล้าบอกหรือเตือน นับวันก็ยิ่งเกรงใจคนอื่นน้อยลงเรื่อยๆ นึกอยากด่าว่าใครแรงๆ ก็พูดออกมาเลยทั้งต่อหน้าและลับหลัง เมื่ออยู่ในสภาพนี้นานๆ เข้า กลายเป็นว่าเราเสียสุขภาพจิต และกำลังสะสมความโกรธเกลียดเขาไปด้วย รบกวนขอข้อคิดและข้อเตือนใจจากพระอาจารย์ด้วยค่ะ
หากมีหลายคนที่ประสบปัญหาเดียวกับคุณ ควรปรึกษาหารือกันว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หากไม่มีใครกล้าบอกหรือเตือนตรง ๆ ก็ควรส่งสัญญาณให้เขารับรู้ด้วยวิธีอื่น เช่น ไม่พูดคุยด้วย หรือหันหลังให้เขา มองไปทางอื่นเวลาเขาเข้ามาในห้อง ไม่ไปร่วมงานวันเกิดของเขา หรือไม่ไปร่วมงานส่งท้ายปีเก่าที่เขาจัดขึ้น เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็ควรดูแลใจของคุณไม่ให้ทุกข์เพราะคำพูดและการกระทำของเขาด้วย เช่น ไม่ให้ค่ากับคำพูดของเขา สาเหตุที่คุณทุกข์เวลาเขาพูดด่าว่าคุณหรือใคร ก็เพราะคุณให้ความสำคัญกับคำพูดของเขา หรือคาดหวังว่าเขาควรจะพูดดีกับคุณ แต่หากคุณปล่อยให้คำพูดของเขาผ่านเลยไป แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา คุณจะทุกข์น้อยลง หรือหากคุณไม่คาดหวังว่าเขาควรพูดดีกับคุณ ลดความคาดหวังเป็นศูนย์ คำพูดของเขาก็จะทำอะไรคุณได้น้อยมาก
ความโกรธเกลียดหากสะสมหมักหมมในใจคุณ จะเป็นโทษแก่คุณเอง ควรหาทางบรรเทาความโกรธเกลียดนั้น การเข้าใจพฤติกรรมของเขา ซึ่งอาจเกิดจากภูมิหลังที่ไม่ปกติ หรือเคยถูกกระทำมาก่อนทั้งจากพ่อแม่หรือคนรอบตัว จะช่วยให้คุณโกรธเกลียดเขาน้อยลง หรืออาจเห็นใจเขามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากการทำใจที่ว่ามาแล้ว การลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเขากำลังก่อทุกข์ให้ผู้อื่นและตนเอง อย่างที่กล่าวข้างต้น ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ