เบิกบานกลางคลื่นลม

พระไพศาล วิสาโล 21 ธันวาคม 2008

เมื่อต้องเดินกลางแจ้ง  แดดกล้า พายุฝน หรือคลื่นลมแรงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  คนส่วนใหญ่จึงร้อนเมื่อถูกแดดกล้า เปียกปอนเมื่อเจอห่าฝน หรือกังวลเมื่อโดนลมแรงพัดกระหน่ำ  แต่สำหรับคนที่มีร่มอยู่กับตัว  แดดกล้า พายุฝน หรือคลื่นลมย่อมทำอะไรได้ยาก

ใช่หรือไม่ว่าการดำเนินชีวิตก็ไม่ต่างจากการเดินทางไกลในที่โล่ง  ย่อมต้องประสบกับความผันผวนแปรปรวนของโลกรอบตัว ต้องเผชิญกับสิ่งไม่พึงปรารถนา และต้องพานพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความพลัดพรากสูญเสีย และอุปสรรคนานาประการ  นอกจากดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจแล้ว ผู้คนรอบข้าง อาชีพการงาน ตลอดจนความเป็นไปของบ้านเมือง ก็ยังพลิกผันเป็นนิจ  นี้คือความจริงของชีวิตที่หลีกไม่พ้น และอยู่เหนือการควบคุมของเรา  ผู้ที่เอาชีวิตผูกติดกับโลกรอบตัวย่อมระส่ำระสายเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ดังกล่าว  แต่สำหรับผู้ที่มีธรรมรักษาใจ  ความผันผวนแปรปรวนของโลกและชีวิตย่อมทำให้เป็นทุกข์ได้ยาก  แม้ลมแรง แดดร้อน ฝนกระหน่ำ แต่ใจก็ยังเบิกบานอยู่เสมอ

ความสุขของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับโลกภายนอกเสมอไป  สำหรับผู้ที่ปรารถนาความสุขที่แท้จะพบกับสิ่งนั้นได้ก็จากใจของตนเท่านั้น  การเอาความสุขของตนไปผูกติดกับโลกภายนอกย่อมพบกับความทุกข์อยู่ร่ำไป แม้จะประสบสุขก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น  ต่อเมื่อเข้าถึงธรรม มีสติดูแลใจ มีปัญญาเข้าใจความจริงของชีวิต  แม้ทุกข์มากระทบ ใจก็ไม่กระเทือน  หรือแม้ใจจะทุกข์ แต่ในที่สุดก็ยังหาสุขพบ

เมื่อทบทวนเหตุการณ์บ้านเมืองในรอบปี ปฏิเสธไม่ได้ว่า สำหรับคนไทยทั้งประเทศ  ๒๕๕๑ เป็นปีที่ไม่ราบรื่นสดใสเลยตั้งแต่ต้นจนจบ  ขึ้นปีใหม่ได้แค่ ๒ วัน ประเทศไทยก็สูญเสียพระผู้เป็นมิ่งขวัญของปวงชน คือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  หลังจากนั้นไม่กี่เดือนความขัดแย้งทางการเมืองก็ปะทุขึ้นมาใหม่ นำไปสู่การชุมนุม เดินขบวน และเผชิญหน้ากันระหว่างคนในชาติ  ไม่เฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่ลามไปตามหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศ  จนในที่สุดก็เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต  ยังไม่นับความเสียหายเหลือคณานับอันเนื่องจากการยึดสนามบินสำคัญ ๒ แห่ง  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังกระจายไปทั่วทั้งโลก และซัดกระหน่ำประเทศไทยหนักขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม มองในแง่ดีก็คือแม้ว่าความขัดแย้งจะรุนแรงเพียงใด เหตุการณ์นองเลือดหรือสงครามกลางเมืองก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่หลายคนวิตก  การเมืองบนท้องถนนลดความตึงเครียดลงไปก่อนที่ปีเก่าจะผ่านพ้นไป  ทำให้ผู้คนสามารถยิ้มออกได้บ้างในเทศกาลปีใหม่ และช่วยให้มีเวลาครุ่นคิดเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าเข้ามาในอีกไม่นานนี้

ไม่ว่าอนาคตจะน่าวิตกเพียงใด พึงระลึกไว้เสมอว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ  อุปสรรคทั้งปวงนั้นสามารถพลัดพรากทรัพย์สิน บั่นทอนสุขภาพ และขัดขวางการงานของเราได้เสมอ  แต่มันไม่สามารถยัดเยียดความทุกข์ หรือช่วงชิงความสุขไปจากเราได้เลยหากเราไม่ปล่อยใจไปตามอำนาจของมัน  สุขหรือทุกข์นั้นอยู่ที่ใจเป็นสำคัญ  สูญเสียเพียงใดก็ยังสามารถสุขได้หากวางใจให้เป็น  เช่นนึกถึงคนที่ทุกข์กว่าเรา หรือนึกถึงวันคืนที่เราเคยทุกข์กว่านี้แต่ก็ยังยิ้มหัวได้   ยิ่งเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดติดถือมั่นหรือห่วงหาอาลัยในสิ่งที่เคยมี ไม่ตีตนไปก่อนไข้หรือวิตกกังวลล่วงหน้า  หากยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปฏิเสธผลักไสหรือก่นด่าชะตากรรม เมื่อนั้นก็ไม่มีความพลัดพรากสูญเสียใดๆ ทำอะไรเราได้เลย

การยอมรับความจริงไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน  แต่หมายถึงการยอมรับว่าความพลัดพรากสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว ป่วยการที่จะตีอกชกหัวหรือเสียดายอาลัยสิ่งต่างๆ  แทนที่จะเสียเวลาและพลังงานไปกับการคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือโทษใครต่อใคร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนตัวเองให้ทดท้อและเป็นทุกข์ยิ่งขึ้น  จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาตั้งสติเพื่อคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วงหรือบรรเทาเบาบาง

จริงอยู่ปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญร่วมกันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไข แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่เราจะมามัวกลัดกลุ้ม หรือวิตกกังวลกับอนาคต  อย่าลืมว่าอนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งแปลว่าอาจไม่เกิดขึ้นเลยหรือไม่ร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็ได้  มีคนเป็นอันมากที่ไม่เคยคิดฝันว่าธุรกิจอันรุ่งโรจน์ของตนจะพังพินาศเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจปี ๔๐  ทันทีที่รู้ว่าตนเป็นหนี้นับร้อยๆ ล้านในเวลาชั่วข้ามคืน หลายคนรู้สึกว่าหมดสิ้นทุกอย่างในชีวิต อนาคตดับวูบ วันข้างหน้ามีแต่ความมืดมนจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป  แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี หลายคนกลับพบว่าความเป็นจริงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตนวาดภาพเอาไว้  ในที่สุดตนเองก็สามารถตั้งตัวขึ้นได้ใหม่ ความสุขกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาเหล่านั้นไม่มัวจมปลักอยู่กับความทดท้อสิ้นหวัง หรือวิตกกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  แต่พยายามทุ่มเทให้กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ดีที่สุด

ยิ่งอนาคตดูหม่นหมอง ก็ยิ่งต้องใช้เวลาและพลังงานที่มีอยู่เพื่อการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะนั่นคือวิธีเดียวเท่านั้นที่เราสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนาได้  หากเราเอาเวลาและพลังงานที่เคยเสียไปกับการบ่น ก่นด่า โวยวาย หรือกลัดกลุ้ม วิตกกังวล มาใช้ในการลงมือแก้ไขปัญหา โดยจดจ่ออยู่กับการทำวันนี้ ชั่วโมงนี้ให้ดีที่สุด  แน่ใจได้เลยว่าเราจะเป็นทุกข์น้อยลง และสามารถขจัดปัดเป่าปัญหาได้เร็วขึ้น  อย่าลืมว่า ปัจจุบันคือโอกาสเดียวเท่านั้นที่เราพอจะทำอะไรได้  ในขณะที่เราไม่สามารถแก้ไขอดีตได้  ส่วนอนาคตก็ยังอยู่ในจินตนาการ

ไม่ว่าอนาคตจะน่าวิตกเพียงใด พึงระลึกไว้เสมอว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ

มีภาษิตธิเบตกล่าวว่า “หากปัญหานั้นแก้ไขได้  จะมัววิตกกังวลทำไม  แต่ถ้าปัญหานั้นแก้ไม่ได้  มีประโยชน์อะไรที่จะวิตกกังวล”  พูดง่ายๆ ก็คือความวิตกกังวลนั้นไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย  การให้ความสำคัญกับการทำแต่ละขณะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดต่างหากคือสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พึงปรารถนาได้  แม้ผลที่เกิดขึ้นแต่ละขณะจะดูน้อยนิด แต่หากทำไม่หยุดและให้เวลานานพอ ก็สามารถก่อตัวชัดเจน เป็นผลอันยิ่งใหญ่ได้  ทะเลเกิดขึ้นจากอะไรหากไม่ใช่จากหยดน้ำทีละหยดที่มารวมกัน

เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ปฏิเสธ ผลักไส หรือต่อต้านขัดขืน  จากนั้นก็รับมือกับปัญหาด้วยความเพียรเต็มที่  ไม่เสียเวลาไปกับการฟูมฟายถึงอดีต หรือวิตกกังวลถึงอนาคต  การรับมือกับปัญหานั้น ไม่ได้หมายถึงการจัดการปัจจัยภายนอกเท่านั้น  สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือการปรับตัวปรับใจด้วย  เช่น ปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในกรณีที่กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย  ลดความต้องการสิ่งเสพให้น้อยลง และควรฝึกตนให้เข้าถึงความสุขที่ประณีตขึ้น

สุขที่ประณีตนั้นเป็นสุขที่ไม่อิงสิ่งเสพ จึงไม่ต้องใช้เงิน  เช่น สุขจากการได้อยู่กับครอบครัว พบปะมิตรสหาย ทำงานอดิเรกที่สร้างสรรค์ ได้ชื่นชมธรรมชาติ  รวมถึงสุขจากการได้ทำความดี และเจริญสมาธิภาวนา เป็นต้น  ทุกวันนี้ผู้คนเหินห่างจากสุขที่ประณีต จึงหลงใหลกามสุขหรือสุขจากการเสพ  แต่เมื่อใดก็ตามที่เข้าถึงสุขอันประณีตได้ วัตถุสิ่งเสพก็มีเสน่ห์น้อยลง ความต้องการมีเงินมากๆ ไว้แสวงหาสิ่งเสพก็ลดลงไปด้วย

การทำปัจจุบันให้ดีที่สุดยังหมายถึงการรู้จักชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน  ไม่ว่าปัญหาจะรุมเร้าหรือสูญเสียพลัดพรากเพียงใด ก็พึงระลึกว่าเรายังมีสิ่งดีๆ อยู่กับตัวอีกมากมาย ซึ่งบ่อยครั้งเรามักมองข้ามไป อาทิ ครอบครัว คนรัก สุขภาพ วิชาความรู้ และสติปัญญา  แม้แต่การมีร่างกายปกติ อาการครบ ๓๒ ก็ถือว่า เป็น “โชค” อย่างยิ่งแล้ว ถ้าไม่เชื่อก็ถามคนพิการดู  ถึงที่สุดแล้วการมีชีวิตและลมหายใจก็เป็นสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งที่เราไม่ค่อยตระหนักจนกว่าความตายจะมาประชิดตัว  สิ่งดีๆ เหล่านี้ผู้คนมักเห็นค่าเมื่อสูญเสียมันไป  แต่ทำไมเราต้องรอให้ถึงวันนั้นก่อนจึงจะเห็นคุณค่า  ทำไมเราไม่ชื่นชมสิ่งเหล่านี้เสียแต่บัดนี้

หากเราสามารถชื่นชมสิ่งดีๆ ที่เคยมองข้ามไปได้ ก็ไม่ยากที่เราจะสามารถมองเห็นข้อดีของปัญหาที่มารุมเร้า  ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ล้วนมีข้อดีทั้งนั้น  ความเจ็บป่วยอย่างน้อยก็ช่วยให้เรามีโอกาสพักผ่อน ได้อยู่ใกล้ครอบครัวและคนรักมากขึ้น  สำหรับหลายคนนี้เป็นสัญญาณเตือนให้หันมาสนใจธรรมะและได้เข้าถึงความสุขที่ประณีต  เมื่อพบว่าตกงาน หลายคนเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้กลับไปอยู่บ้านและมีเวลาให้กับพ่อแม่มากขึ้น  ถึงที่สุดแล้วแม้ยังมองไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย สิ่งแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเราก็มีข้อดีอย่างหนึ่งคือ ดีที่ยังไม่แย่ไปกว่านี้  ตกงานก็ยังดีที่ยังมีเงินเก็บอยู่ เงินหายก็ดีกว่าสูญรถ เป็นเบาหวานก็ยังดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง

มองในแง่ดี สถานการณ์รอบตัวเวลานี้เป็นสิ่งท้าทายสติปัญญาของเรา ในขณะที่หลายคนกำลังเป็นทุกข์ เต็มไปด้วยความกังวลว่าเมื่อไรการเมืองจะสงบ ทำไมผู้คนแตกแยกกัน ทำอย่างไรเศรษฐกิจจึงจะดีขึ้น อีกกี่ปีเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว  แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้ถามเท่าไรก็คือ ทำไมเราต้องเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับสถานการณ์ภายนอกด้วย ใช่หรือไม่ว่าผู้คนเป็นทุกข์กันมากทุกวันนี้ก็เพราะเอาความสุขของตนไปฝากไว้กับปัจจัยภายนอกตลอดเวลา

คำถามก็คือเราสามารถที่จะเป็นสุขท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวนได้ไหม  คำตอบคือได้  เป็นไปได้ไหมที่เราจะไม่เอาความสุขของเราไปฝากไว้กับสถานการณ์รอบตัว  คำตอบคือได้ และเป็นสิ่งที่ควรทำด้วย  ความสุขที่แท้มีอยู่แล้วในใจเรา ขอเพียงเรามีสติกำกับใจ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

การทำใจได้เช่นนี้มิใช่อะไรอื่นหากคือสิ่งประเสริฐหรือ “พร” ที่สำคัญสำหรับปีใหม่นี้  ที่แล้วมาเรามักขอพรจากคนโน้นคนนี้ จะไม่ดีกว่าหรือหากเราหันมาสร้างพรด้วยตัวเอง นั่นคือเอาธรรมมากำกับใจเพื่อสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ โดยไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนปรวนแปรของโลก

โลกจะวุ่นวายร้อนรุ่มเพียงใด ใจก็ยังสามารถสงบเย็นได้  ใจที่สงบเย็นนี้แหละที่จะช่วยให้สติกลับมาและปัญญาเพิ่มพูนจนนำพาชีวิตให้พ้นวิกฤต  ใจจึงเบิกบานได้เสมอแม้วันนี้คลื่นลมจะแรงก็ตาม


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา