จิตอาสาในโรงพยาบาล เติมสุขให้ใจในวัยเกษียณ

นุดา 10 มิถุนายน 2025

การก้าวออกจาก “โลกใบเดิม” สู่การเป็นจิตอาสา คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า “วัยเกษียณ” ไม่ได้หมายถึงการหยุดนิ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงช่วงเวลาการพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสของการค้นพบความหมายใหม่ในชีวิตและสร้างคุณค่าให้ผู้อื่น เช่นเรื่องราวของ คุณกนก เตชะพิเชฐวนิช เจ้าของกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้าง และคุณเอ้ ศิริรัตน์ ศิริชีพชัยยันต์ อดีตผู้บริหารโรงเรียน ที่ก้าวจากโลกใบเดิมของตัวเองมาเป็นจิตอาสาในโรงพยาบาลรัฐ ในบทบาทของ “อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล” และ “อาสาข้างเตียง”

กนก เตชะพิเชฐวนิช จากเจ้าของธุรกิจสู่จิตอาสาผู้ค้นพบความสุข

คุณกนก

สำหรับคุณกนก เตชะพิเชฐวนิช จุดเริ่มต้นของการเป็นจิตอาสามาจากคำถามภายในใจที่ว่า “เราไม่ได้เกิดมาแค่จะมาหาเงินไปเยอะ ๆ แล้วก็ตายไปนะ เกิดมาแค่นี้เองหรือ เราเกิดมาเพื่ออะไร”

ในฐานะเจ้าของธุรกิจ แม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่เขากลับพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด ไม่มีความสุขอย่างที่คิด ด้วยสถานะที่เป็นเจ้าของกิจการ ทำให้ความตั้งใจที่จะ “ทำเรื่องดี ๆ” ต้องเก็บไว้ในใจเสมอ เพราะภาระหน้าที่ในการดูแลกิจการทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ จนกระทั่งวันที่เขาตัดสินใจพอแล้วกับธุรกิจการงาน จึงไม่รีรอที่จะส่งใบสมัครเป็น อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล รุ่นวัยอิสระ 50-70 ปี ที่สถาบันประสาทวิทยา แม้จะไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ด้านโรงพยาบาลเลยก็ตาม เขามีความคิดเพียงอย่างเดียวว่า “เป็นเรื่องดี ๆ จึงอยากทำ”

“ทุกอย่างมาด้วยใจ คิดแค่ว่าอยากช่วยคน ถ้าอะไรที่ทำไม่ได้ผมก็ต้องพยายามทำให้ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ผมอาจจะไม่เหมาะกับตรงนี้ ก็คงต้องถอยออกมา” คุณกนกกล่าว

การได้ก้าวเข้าสู่บทบาทของอาสาสมัคร ทำให้คุณกนกได้เห็นโลกในมุมที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“เดิมเราขับรถไปทำงาน แต่นี่ผมเดินทางด้วยรถสาธารณะ รถไฟฟ้า นั่งรถเมล์ บางทีก็เดินมาจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ผ่านโรงพยาบาลราชวิถีประมาณ 6 โมงเช้า เจอคนไข้มารอคิวริมถนนเต็มเลย เราก็ไม่เคยเห็นกับตา เคยได้ยินแต่ข่าวว่าคนไข้ต้องไปต่อคิวโรงพยาบาลรัฐใหญ่ ๆ แต่เช้ามืด” เขายังได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น มูลนิธิคนตาบอดที่อยู่ใกล้ ๆ หรือการได้พาคนตาบอดเกาะแขนขึ้นรถเมล์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่มีโอกาสได้เห็นเลยหากยังอยู่ในรถส่วนตัวหรือยังทำงานประจำ

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการมาเป็นอาสาสมัครทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังโชคดีที่แข็งแรงอยู่ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ต้องนั่งรถเข็น หรือมีอาการผิดปกติทางร่างกาย และที่สำคัญคือความรู้สึกที่แตกต่างจากการทำธุรกิจอย่างสิ้นเชิง

“ต่างจากตอนทำธุรกิจคือเราจะคิดตลอด แต่การเป็นอาสาพอจบจากงาน มันโล่ง สบายใจ ทางพุทธิกาก็บอกว่า ทำอาสาเสร็จแล้วไว้ที่นี่เลยนะ ไม่ต้องติดเอาไปคิดต่อที่บ้าน ก็สบายใจ ทุกวันนี้ก่อนมาเราอาจจะมีเรื่องทุกข์อยู่ แต่พอเราได้มาทำงานอาสา เราก็เลยลืมเรื่องทุกข์อันนั้นไป หรืออย่างน้อยก็เบาลง”

ไม่เพียงเท่านั้น คุณกนกยังมุ่งมั่นที่จะทำเรื่องดีๆต่อไปด้วยการเป็น อาสาข้างเตียง คุณกนกเล่าถึงแรงบันดาลใจในการมาเป็นอาสาข้างเตียงว่า เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมการอบรมเรื่องการฟังและได้รู้จักกับแนวคิด Palliative Care หรือการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย และรู้สึกทึ่งว่ามีเรื่องราวแบบนี้ด้วยหรือ หลังจากนั้นไม่นานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาแจ้งข่าวว่า กำลังจะเปิดรับอาสาข้างเตียงเพื่อเป็นเพื่อนรับฟังผู้ป่วยในโรงพยาบาล เขาก็สมัครเข้าร่วมทันที

ในบทบาทของอาสาข้างเตียง คุณกนกมองว่าคือการเป็นเพื่อนคุย เพื่อนรับฟังผู้ป่วย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับหลายฝ่าย ทั้งตัวผู้ป่วย โรงพยาบาลเองก็ได้ประโยชน์ ตัวอาสาเองก็ได้ประโยชน์

“บางครั้งหมอหรือพยาบาลก็ไม่มีเวลาจะคุยกับผู้ป่วย การที่เรารับฟังผู้ป่วยบางครั้งมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อทางโรงพยาบาล เพราะทุกครั้งหลังปฏิบัติหน้าที่เราจะประชุมคุยกับพยาบาล ทางโรงพยาบาลก็นำไปปรับใช้ว่ามีปัญหาแบบนี้ สุดท้ายพอทำแล้วรูปธรรมที่เกิดขึ้นคือ พอตอนจบก็มาคุยประชุม ถ้าพยาบาลบอกท่านได้นำไปใช้ เราจะรู้สึกดีใจ เราได้ช่วยทั้งทางผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันเราเองก็มีพื้นที่คือสถาบันประสาทวิทยา ที่เปิดให้ได้มาฝึกจิตใจตัวเอง”

สำหรับผู้ป่วยเอง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีญาติมาเยี่ยม คุณกนกบอกว่า “พูดง่าย ๆ ผมตีโจทย์เลยว่าเขาเหงา พอมีคนไปเป็นเพื่อนคุย เขาก็ดูมีความสุขขึ้น ถามว่าเรามาทุกวันไหม” การได้เห็นรอยยิ้มและความสุขของผู้ป่วย โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาบอกว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว ทำให้เขารู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง

“จากที่เราตั้งใจมาทำสิ่งดี ๆ ตอนนี้เราได้ทำแล้ว เราได้ทำประโยชน์เพื่อคนอื่น และเรายังได้รับกลับมาด้วย ได้เรียนรู้เรื่องความเจ็บป่วยและความตาย ทุกคนยังไงก็ต้องเจอความตาย ก็เลยไม่ค่อยกลัว แต่ที่ตัวเองยังกลัวคือกลัวความเจ็บ พอมาทำตรงนี้เราเห็นเรื่องความเจ็บป่วยด้วย มันก็ทำให้เรายิ่งตระหนักเรื่องความไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ต้องดูแลตัวเองให้ดี”

ศิริรัตน์ ศิริชีพชัยยันต์ จากผู้บริหารสู่ผู้ให้ที่ได้พัฒนาตนเอง

คุณเอ้

“มนุษย์เราต้องปฏิสัมพันธ์กับคน เป้าหมายของเราคือการได้เจอผู้คน และถ้าการได้เจอผู้คนของเรามีประโยชน์กับเขาด้วย มันน่าจะตอบโจทย์ และถ้าเรามีความสามารถอะไรได้บ้าง หรือมีโอกาสให้ได้พัฒนาตัวเองด้วยยิ่งดี ซึ่งการเป็นจิตอาสาคือสิ่งนั้น และเราก็เอนจอยกับการทำแบบนี้” นี่คือหนึ่งในภารกิจและเป้าหมายของ คุณเอ้ ศิริรัตน์ ศิริชีพชัยยันต์ หลังลาออกจากงานประจำในตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียน

นอกจากการกลับมาดูแลสุขภาพกายของตัวเองอย่างจริงจังแล้ว คุณเอ้ยังตระหนักว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอทุ่มเทกับการทำงานมากเกินไปจนไม่ค่อยมีเวลาดูแลคนใกล้ตัว ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอตั้งใจทำคือการใช้เวลาดูแลครอบครัวอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับการแสวงหาการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่จะสามารถสร้างประโยชน์ได้ทั้งต่อผู้อื่นและต่อตัวเธอเอง ด้วยแนวคิดนี้ คุณเอ้จึงสมัครเป็นอาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่สถาบันประสาทวิทยา และยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องตามวันเวลาที่สะดวก

คุณเอ้เล่าว่าการมาเป็นอาสาฯ เปรียบเสมือนประตูบานใหม่ที่ทำให้เธอได้เห็นชีวิตผู้คนที่แตกต่างออกไปและยังสะท้อนกลับมายังตัวเองด้วย การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นตั้งแต่รูปแบบการเดินทาง

“พอเราขึ้นรถเมล์ได้รู้เลยว่าชีวิตคนบนท้องถนน บนรถสาธารณะมีความยากต่าง ๆ มันต้องเผชิญอะไรเยอะแยะ…แล้วเราก็ได้เห็นความเอื้อเฟื้อตอนใช้รถสาธารณะ เห็นเด็กนักเรียนช่วยคนแก่ถือของ เห็นคนลุกให้คนอื่นนั่ง แต่อีกมุมหนึ่งก็ได้เห็นคนที่ไม่ได้สนใจโลกรอบข้างเลย อยู่กับหน้าจอมือถือ” เธอยอมรับว่าในอดีตอาจคาดหวังว่าเด็กจะลุกให้ผู้สูงอายุนั่ง แต่เมื่อมองในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าคนแต่ละเจเนอเรชันแตกต่างกัน และผู้สูงอายุบางคนก็ไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้ หากอยากนั่งก็ต้องรอรถที่ว่าง

ในการปฏิบัติงานอาสาอำนวยความสะดวกในวันแรก ๆ คุณเอ้ไม่ได้รู้สึกอินอะไรมากนัก “แต่พอทำครั้งที่ 2 ที่ 3 มันมีสถานการณ์บางอย่างเข้ามา อย่างเช่น คนไข้เข้ามาแล้วแบบมองตาแข็ง ๆ ใส่เรา ถ้าเจอแบบนี้เมื่อก่อนจะมีคำถามว่า มองฉันทำไม” แต่เมื่อได้ฟังคำแนะนำจากคุณผิน ผู้ดูแลอาสา และพี่สันติ (อาสารุ่นพี่) ที่คอยให้ข้อมูลอยู่เสมอ เธอก็เข้าใจว่านี่คืออาการอย่างหนึ่งของผู้ป่วย และสามารถยอมรับสถานการณ์นั้นได้

ประชุมทีมหลังการปฏิบัติหน้าที่อาสาข้างเตียง

ก่อนมาเป็นอาสาฯ สามีของคุณเอ้เคยถามว่า “พร้อมไปเซอร์วิสคนอื่นได้ไหม” และยกตัวอย่างว่าหากมีคนรู้จักหรือลูกน้องเก่ามาเจอที่โรงพยาบาลและเธอต้องช่วยอำนวยความสะดวกจะทำอย่างไร คุณเอ้ตอบกลับไปว่า

“ยิ่งดี เพราะจังหวะนี้เราจะได้ซัพพอร์ตเขา เหมือนที่เขาเคยซัพพอร์ตเราตอนทำงาน เราอยู่ในระดับเท่า ๆ กันก็เป็นเรื่องดี เพราะหัวโขนมันถอดไปแล้ว ชีวิตในทุกวันนี้มันมีอิสระ เดินไปไหนก็ได้ แต่งตัวแบบไหนก็ได้นะ” สิ่งที่เธอสัมผัสได้ทุกครั้งหลังจบงานอาสาคือ ความเบา โปร่งสบาย ซึ่งแตกต่างจากตอนทำงานประจำมากที่ไม่เคยกลับบ้านแบบโล่ง ๆ เลย เพราะต้องคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกาเปิดรับสมัครอาสาข้างเตียง คุณเอ้ก็เป็นหนึ่งในอาสารุ่นแรก เธอมองว่างานอาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาลเปรียบเสมือนการปฏิบัติธรรมที่ช่วยฝึกสติขั้นพื้นฐาน แต่งานอาสาข้างเตียงนั้นเป็นการฝึกที่ละเอียดกว่ามาก เพราะต้องเป็นผู้รับฟังที่ดี และเตรียมตัวเตรียมใจให้โปร่งเบาสบาย

“อาสาข้างเตียงคือผู้ที่พร้อมจะแบ่งเบาด้วยการรับฟัง หรือแบ่งเบาด้วยการให้ผู้ป่วยเขาได้แชร์ริ่งในสิ่งที่เขาอยากจะแชร์กับเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วเราเองก็ต้องมองเขาเป็นเพื่อนมนุษย์เท่า ๆ กัน เรามีหน้าที่คือมาแชร์ริ่งกัน เขาอยากจะแชร์ความสุข หรือจะแชร์ความทุกข์กับเรา เรายินดีที่จะรับฟัง ฟังแบบไม่ตัดสิน ไม่เปรียบเทียบ แล้วก็ไม่เอาเรื่องราวของเราไปโยงผูกกับเรื่องของผู้ป่วย ซึ่งมันเป็นการฝึกตัวเราเอง”

คุณเอ้กล่าวเสริมว่าแม้จะไม่สามารถประเมินได้ว่าการเป็นอาสาของเธอจะเกิดประโยชน์กับผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอมั่นใจคือ “สิ่งที่มันกลับมาหาเราคือได้พัฒนาตัวเอง ทั้งในเรื่องของจิตใจ รู้จักอารมณ์ของตัวเอง รู้ว่าเราควรจะคุมสติของเรายังไง เป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ให้เป็นกายกับจิตที่มีคุณภาพ”

คุณกนกและคุณเอ้คืออีกตัวอย่างที่บอกเราว่า การเกษียณอายุไม่ได้หมายถึงการหยุดนิ่ง แต่เป็นช่วงเวลาที่มีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น เป็นโอกาสที่จะได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ เติมความสุขให้ใจ สร้างคุณค่าให้กับชีวิตและสังคมอย่างแท้จริง


 

นุดา

ผู้เขียน: นุดา

เกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ตอบตัวเองได้ว่า อยากทำงานเกี่ยวกับการเขียนตอนเรียนมัธยม จึงเลือกเดินในเส้นทางสายนี้ และยึดเป็นอาชีพหลักกว่า 20 ปี แม้รูปแบบของสื่อจะไปเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่เชื่อว่าการเขียนยังเป็นพลังสำคัญในการสื่อสาร