ความทุกข์ในชีวิตประการหนึ่ง คือ ภาวะความงุนงงสับสนกับชีวิตยามเมื่อประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด ความงุนงงสับสนทำให้เราต้องดิ้นรน หาทางออก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางว่า เราจะทำอย่างไรดี ผู้เขียนมีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์การสูญเสียสามีในยามที่ช่วงอายุยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว สิ่งที่ท่านเสียใจคือ ท่านตั้งใจจะบอกกล่าวเรื่องราวสำคัญ คือความรู้สึกขอบคุณและชื่นชมสามีของท่านในสิ่งที่ได้ทำมา แต่ก็ผัดผ่อนมาตลอด กระทั่งวันหนึ่งสามีของท่านนอนหลับและไม่ตื่นอีกเลย จากนั้น ๓ เดือนต่อมา คุณแม่ของท่านก็จากไปด้วยโรคชรา หนึ่งปีถัดมาลูกสาวของท่านก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ
เหตุการณ์การสูญเสียเช่นนี้ ทำให้ท่านสนใจศึกษาเรียนรู้และทำงานด้านจิตวิทยาการให้คำปรึกษา ทุกวันนี้ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษา เป็นวิทยากร และอาจารย์ผู้สอนที่สร้างอิทธิพลและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากกับลูกศิษย์ สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจคือ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังได้ส่งผลกระทบถึงแวดวงการให้คำปรึกษาในเมืองไทย จากการที่ท่านได้มีโอกาสเชื่อมโยงกับทางเมืองไทยภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มอาจารย์และสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับแวดวงผู้ที่ทำงานด้านการให้คำปรึกษาและการเยียวยาผู้ประสบความทุกข์ทางจิตใจ ผู้เขียนเองก็มีความตั้งใจและเหตุบังเอิญให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ และพบการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
และไม่ว่าเราจะนิยามความหมายของเหตุบังเอิญอย่างไรก็ตาม แต่ละเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างล้วนมีที่มาและความเป็นไป ด้วยพลังอำนาจใดๆ ก็ตามที่อาจเกินความคาดคิด จินตนาการ ก็ทำให้เกิดความประจวบเหมาะสม ที่สอดคล้องและสอดประสานให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นตามมา ในแง่มิติเศรษฐศาสตร์ ตัวอย่างพลังศักดิ์สิทธิ์ในระบบทุนนิยมเสรี คือ “มือที่มองไม่เห็น” ในฐานะพลังและกลไกที่จับต้องไม่ได้ พลังนี้ช่วยทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรในสังคม
เส้นทางชีวิตของเราทุกคนต่างล้วนมีพลังที่มองไม่เห็นซึ่งนำพาสิ่งต่างๆ เข้ามาและจากไป ก่อเกิดผลกระทบต่างๆ นานา บริบทของสังคมพุทธ มุมมองต่อเรื่องนี้คือ “ทุกสิ่ง ย่อมเป็นไปตามกรรม” คำพูดและคำปลอบใจที่พวกเรามักได้ยินและคุ้นเคยคือ “แล้วแต่กรรม” พลังความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษก็ทำให้ก่อเกิดทัศนคติกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เช่น “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” “คนดีผีคุ้ม” “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” ดังนั้นชีวิตที่ดำรงอยู่จึงไม่ใช่สิ่งดำรงอยู่โดดเดี่ยว หรือเกี่ยวข้องเฉพาะกับสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ แต่ยังเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถนิยามอธิบาย แต่เราอาจเชี่ยมโยงได้ ขึ้นกับการเปิดรับ การเตรียมพร้อมของตัวเรา แน่นอนสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเชื่อ ความศรัทธา
ความตระหนักรู้ สติสัมปชัญญะ หรือความรู้ตัวทั่วพร้อม คือคุณภาพและคุณสมบัติภายในที่เราทุกคนต่างมี และเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นพลังชีวิตที่เราทุกคนในฐานะเจ้าของชีวิตต้องสร้างและฟูมฟักให้กับตนเอง ไม่สามารถว่าจ้างหรือร้องขอให้คนอื่นมาทำแทนหรือสร้างสิ่งนี้แทนเจ้าของชีวิตเองได้ ความลึกลับของพลังชีวิตนี้ เราไม่สามารถเข้าถึงหรือสัมผัสผ่านการคิดนึก จินตนาการ แต่เราสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อเราได้อยู่กับพลังนี้แล้ว ดังเช่นตัวอย่างในกระบวนการทางจิตวิทยา คำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ คือ “ขณะนี้ คุณรู้สึกอย่างไร” ซึ่งไม่ว่าคำตอบที่บอกเล่าความรู้สึกจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่มากกว่าคำตอบ คือ ภาวะความรู้ตัวต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น การมองเห็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้น และทันทีที่ภาวะความตระหนักรู้ทำงาน สิ่งที่เกิดตามมาคือ การอยู่เหนือ การเท่าทันความรู้สึก อารมณ์นั้นๆ ความทุกข์ของหลายๆ คนที่ชีวิตย่ำแย่และเส้นทางชีวิตบิดเบือน คือ ภาวะการตกเป็น “ทาสอารมณ์”
ในอีกทาง ความทุกข์ในชีวิตที่หลอกหลอนและสร้างความรุนแรงให้กับชีวิต คือ การตกเป็นทาสความคิด ความเชื่อ มองไม่เห็นโทษภัยของความคิด ความเชื่อที่ยึดถืออยู่ ไม่ตระหนักรู้ตัวกับภาวะการยึดถือ เกาะกุมความคิด ความเชื่อนั้นๆ หรืออาจรู้ตัวถึงภาวะการยึดกุมความคิด ความเชื่อนั้น แต่ไม่มีกำลังทางจิตใจมากพอที่จะสละหรือปล่อยวางอาการการยึดกุมเช่นนั้นได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การถูกความคิด ความเชื่อนั้นลากจูงไป ชีวิตขาดอิสรภาพ ขาดทางเลือก
เส้นทางชีวิตของเราทุกคนต่างล้วนมีพลังที่มองไม่เห็นซึ่งนำพาสิ่งต่างๆ เข้ามาและจากไป ก่อเกิดผลกระทบต่างๆ นานา
ความตระหนักรู้ การมีสติสัมปชัญญะ จึงเป็นคุณภาพชีวิตและพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน เป็นเสมือนขุมทรัพย์ภายในตัวเรา ทำหน้าที่เสมือนเข็มทิศบอกทิศทางชีวิต ช่วยนำพาและคลี่คลายความสับสน งุนงง จากความไม่รู้ ความโง่เขลาบางอย่างออกไป และที่สำคัญ พลังศักดิ์สิทธิ์ภายในสามารถก่อเกิดการเชี่ยมโยงกับพลังศักดิ์สิทธิ์ภายนอกได้ด้วย ดังเช่นเรื่องราวของอาจารย์ที่กล่าวมา ความตระหนักรู้ตัวถึงความปรารถนาที่จะเลือกอาชีพการงาน ประสานกับช่องทางโอกาสที่เข้ามา ท่านเลือกที่จะศึกษาเรียนรู้กับครูอาจารย์ของท่าน เลือกเรียนในองค์ความรู้และทำงานในแบบที่ท่านต้องการ มากกว่าการตัดสินใจใดๆ โดยขาดความตระหนักรู้ ขาดความเข้าใจ ขาดสติสัมปชัญญะ
โจทย์สำคัญคือ เราเรียนรู้ ใส่ใจ และบำรุงรักษาเพื่อดึงประโยชน์จากพลังศักดิ์สิทธิ์ ขุมทรัพย์ในตัวเรานี้มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญที่เน้นย้ำคือ ขุมทรัพย์นี้เมื่อเราถือครอง ประโยชน์และอานิสงส์ที่ก่อเกิดและขยายตัว ยังสามารถแผ่ขยายเผื่อแผ่ประโยชน์ไปให้กับคนรอบข้าง บุคคลที่เข้ามาสัมพันธ์ได้ด้วยพลังศักดิ์สิทธ์เช่นนี้ จะเป็นพลังที่อยู่ภายนอกหรือภายในก็ตาม แต่พลังนี้ก็แผ่ขยายและรอการเชื่อมโยงเข้าถึงขุมทรัพย์นี้
สิ่งสำคัญคือ ความตระหนักรู้เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตัวเรา เราสามารถฟูมฟัก สร้างความงอกเงยให้พลังนี้มีอยู่ในตัวเราเสมอๆ ให้พลังนี้ช่วยนำทางชีวิต ช่วงชีวิตที่เป็นอยู่และเป็นไป ก็ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลวร้ายนัก เมื่อเราประสบทุกข์ภัยแสนสาหัสและไม่หลงลืมตัวไปกับความสุขที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและล่อลวง เพราะเมื่อเรามีความตระหนักรู้ การมีสติสัมปชัญญะ ก็เท่ากับการมีเครื่องช่วยกำกับ คุ้มครอง และช่วยนำทางชีวิตแล้ว