มรสุมกำลังเคลื่อนเข้ามา ไม่มีทางเลี่ยงได้เลย…
แสงแดดค่อยๆ ผลุบหายในมวลเมฆที่กำลังกลายเป็นมวลฝนหนาทึบ แสงระยิบระยับจากยอดคลื่นแปรเปลี่ยนเป็นยอดเงามืดถาโถม ภูเขาหินปูนมหึมาสลับซับซ้อน บัดนี้ถูกมรสุมเขมือบหายไปในทมิฬ
พวกเราบนเรือนแพเห็นปรากฏการณ์ทั้งหมด ต่างผุดลุกผุดนั่งเก็บอาหารและข้าวของหลบห่าฝน ตะโกนเรียกพรรคพวกและเด็กๆ ให้หลบเข้ามาในเรือน ทั้งหมดใช้เวลาไม่นานนักเพราะเราขนของมาน้อย และหลังคาของเรือนแพก็แน่นหนากันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี
ไม่กี่วินาทีถัดมา พวกเราก็อยูในท่ามกลางมรสุม ท้องฟ้าเหนือทะเลสาบกลายเป็นสีเทาครึ้ม ลมหวีดหวิวพัดยอดไม้โบกสะบัด โถมคลื่นซัดเรือนแพแกว่งไกวโยกเยกโคลงเคลง ฝนห่าหนักทิ้งตัวกระทบหลังคาดังปังๆ
ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครเดือดร้อน พวกเรายังรักษารอยยิ้มกันได้ ไม่เพียงเท่านั้น ใครบางคนยังเปิดหน้าต่าง ชี้ชวนให้คนอื่นๆ ดูทะเลคลั่ง
“ดูนั่นสิ”
“สวยเนอะ”
“ใช่…สวยจัง”
สิ่งที่พวกเราเห็นคือทิวทัศน์แปลกตา ม่านฝนลดทอนรายละเอียดของหมู่ไม้และลายผาหินเหลือเพียงเงาทะมึน แย้มพรายเฉพาะโค้งเว้าของช่องเขาแลดูตระการตา คลื่นทะเลคลั่งให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวทรงพลัง กลางทะเลสาบ พวกเรายังเห็นไม้ใหญ่ยืนต้นโดดเดี่ยว มันพริ้วไหวลู่ลมอย่างยืนหยัดน่าชื่นชม
มรสุมลูกนี้ประกาศศักดิ์ศรีของธรมชาติให้ประจักษ์ ดีที่สุดที่เราทำได้คือเก็บตัวหลบภัย อดทนเฝ้ารอ ดูชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก่อนที่มรสุมจะค่อยเคลื่อนผ่าน พัดพาทมิฬมัวไปแห่งอื่น
ห่าฝนค่อยซาลงเหลือเพียงพรมพรำ มวลเมฆค่อยคลายตัวเหลือเพียงม่านบาง เบื้องบนพวกเราเริ่มเห็นสีฟ้าเรื่อเจือแสงทองยามเย็น ขุนเขากลับปรากฏอีกครั้งพร้อมอากาศที่สะอาดและกระจ่างกว่าเดิม แสงระยิบระยับกลับมาคืนสู่ยอดคลื่น พวกเราเปิดประตูและออกจากที่หลบภัย มานั่งทอดหุ่ยที่ระเบียงอีกครั้งพร้อมสารพันอาหารตามเดิม แล้วสิ่งอัศจรรย์หลังมรสุมก็ปรากฏ ใครบางคนตะโกนบอกทุกคน
“ดูโน่น รุ้งกินน้ำ!”
“มรสุมภายนอกไม่น่ากลัวเท่ามรสุมภายใน” ใครบางคนว่าไว้เช่นนี้ แต่ใครกันจะหลีกเลี่ยงมรสุมทั้งสองได้ตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะมรสุมภายใน
มรสุมภายใน อันหมายถึงกลุ่มอาการผิดคาด พลาดหวัง อกหัก สูญเสีย ความทุกข์ตรมโทมนัสทั้งหลาย ฯลฯ เป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกกริ่งเกรง อยากจะหลีกเร้นปฏิเสธผลักไส เป็นธรรมดาที่เราอยากจะให้มันผ่านพ้นไปเร็วๆ แต่บางครั้งเราก็อยู่ในสภาพเหมือนถูกขังอยู่ในเรือนแพ ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับสภาพที่กำลังเกิดขึ้น ทำได้แค่เก็บข้าวของให้รอดจากความเปียกแฉะ สำรวมระวังตัวไม่ให้ตกน้ำตกท่า เฝ้ารอ และอดทน จนกว่าพาเหรดมรสุมจะผ่านพ้น
แล้วอะไรเล่า จะทำหน้าที่เป็นห้องหับ ปกป้องพวกเราได้จากมรสุมภายใน อะไรจะทำให้เราปลอดภัยและผ่านพ้นห้วงทุกข์เหล่านั้น บางคนว่ามันคือสติ บางคนบอกว่าคือปัญญาพาให้เราเท่าทันความเป็นจริง บ้างก็ว่าคือความอดทนอดกลั้นให้ความเศร้าเคลื่อนผ่านเราไป
เก็บตัวหลบภัย อดทนเฝ้ารอ ดูชมปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก่อนที่มรสุมจะเคลื่อนผ่าน ให้แสงอาทิตย์ได้กลับมาใหม่
จะดีไหมหากช่วงเวลาที่ความทุกข์มาเยี่ยมเยือน เรายังสามารถตั้งสติ ฉุกคิด เปิดหน้าต่างจิตใจ เพื่อสำรวจและชื่นชมแง่งาม แง่ดี หรือแง่จริงของมรสุมภายใน เพื่อว่าเมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากเหล่านั้นไป เราจะได้เติบโตขึ้นอีกนิด เข้าใจโลก เข้าใจความเป็นจริง เข้าใจตัวเองมากขึ้นอีกหน่อย
อย่างน้อยเรายังได้รู้ตัวว่าเรายังติดข้องในเรื่องใด ยังมีโจทย์อะไรที่ต้องก้าวผ่าน อาทิ ทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่คนเดียวอย่างเป็นสุข ทำอย่างไรให้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเอง ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจความบีบคั้นและปล่อยวางผ่านไป ทำอย่างไรจึงจะทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส
โดยหวังว่า เมื่อมรสุมภายในเหล่านี้ผ่านพ้นไป พวกเราจะเติบโตขึ้น รื่นรมย์เบิกบานกับชีวิตมากขึ้น เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
นี่กระมังที่เป็นสายรุ้งภายใน – รางวัลแห่งการผ่านพ้นมรสุมครั้งใหญ่ของชีวิต