การขึ้นลงนิ่มนวลน่าชื่นชม แต่เวลานั้นไม่มีใครปรบมือ นี่เป็นเวลากลางดึก บางคนหลับอยู่จึงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเครื่องบินลงจอดแล้ว
กว่าพวกเราจะถึงไทเปก็ตอนตีหนึ่ง ผมชักเริ่มง่วงและเพลีย แถมยังเป็นห่วงหลวงพี่ เกรงว่าท่านจะนอนดึก จึงอยากเร่งให้ถึงที่หมายเร็วๆ คำนวณเวลาอยู่ในสนามบินและการเดินทางไปโรงแรมก็คงสักชั่วโมงหนึ่ง
ผมไม่เคยเดินทางมาไทเป แต่การเดินทางในสนามบินที่นี่เข้าใจง่าย ลูกศรพาเราเดินแหวกความว่างได้ต่อเนื่อง หลวงพี่ยิ้มกล่าวว่าคนน้อยดี ผมเองก็ดีใจ เดินทำเวลาได้แบบนี้น่าจะไปถึงโรงแรมได้เร็ว
เราเดินจนกระทั่งถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมได้ยินหลวงพี่หัวเราะ “เหอะ เหอะ”
ที่หลวงพี่หัวเราะเช่นนั้น เป็นเพราะท่านเห็นคนกว่าครึ่งพันต่อแถวรอหน้าด่าน คนยั้วเยี้ยยืนเต็มแนวเชือกกั้น เราได้ยินเสียงคนคุยกันซ้ายขวาหน้าหลังในระยะประชิด นี่เป็นเวลาตีหนึ่ง เราจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ตอนตีอะไร คำถามนี้เวียนวนอยู่ในใจผม
น่าเสียดาย ผมไม่มีทางเลี่ยง ที่นี่ไม่มีสิทธิพิเศษให้พระ ไม่มีทางลัด ทางเดียวที่อยู่ตรงหน้าของเราคือทางรอ
แถวนั้นหดทีละนิด ทีละนิด ก้าวเดินทีละนิด ยืนสลับก้าว ก้าวแล้วหยุดรอ ไม่นานผมก็เมื่อยขา แอบชะโงกดูเจ้าหน้าที่บ่อยครั้ง สังเกตได้ว่ามีเพียงสามในสิบด่านเท่านั้นที่เปิดทำการ ผมตำหนิในใจว่าทำไมไม่มาทำงานกันให้เยอะกว่านี้
ผม ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ สังเกตบรรยากาศรอบข้าง คนไทยมาเที่ยวไทเปเยอะทีเดียว คนโน้นคนนี้บ่นบ้างตามเรื่อง ผมกลับมาใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ ผมได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง นี่เป็นบทเรียนแรกในการมาไทเป – บทเรียนวิชารอ
ไม่มีสิทธิพิเศษ ไม่มีทางลัด ทางเดียวของเราคือทางรอ
จำไม่ได้ว่าการรอครั้งแรกในชีวิตนั้น ผมรออะไร รู้แต่ว่าตอนผมยังเด็กผมไม่ “รู้สึกรอ” ขนาดนี้ แม้จะรอก็ไม่รู้สึกทรมาน ผมรอรับขนมแจกฟรีด้วยความสนุก รอเข้าแถวรับอาหารถาดด้วยความแช่มชื่น รอแถวเป่ายิงฉุบด้วยความลุ้นระทึก
เมื่อโตขึ้น ดูเหมือนผมจะรอด้วยความทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะผมคิดได้แยบยลขึ้น คิดว่าถ้าตอนนี้ไม่ต้องรอ จะเอาเวลาไปทำอะไรได้บ้าง
สังเกตว่าเมื่อใดที่ผมคิดเช่นนี้ ก็จะเกิดความคับแค้นคุกรุ่นในใจ ผมกำลังโหยหาจักรวาลคู่ขนานที่ได้นอนบนเตียงอุ่นนุ่มในโรงแรม คิดถึงเตียงก็ทรมานขึ้นมาทันที อา…ยืนจุดนี้ตั้งนานแล้ว แถวเพิ่งหดไปแค่หนึ่งช่วงคน
การตรวจหนังสือเดินทางผ่านพ้นไปด้วยดี หลังจากที่รับกระเป๋าเรียบร้อย ผมกับหลวงพี่ก็ยังคงต้องรออีกด่านหนึ่ง รอต่อคิวรถแท็กซี่ของสนามบิน ยืนรอท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของรถที่แล่นฉิวอยู่ไกลๆ
ตรงนี้เองที่ผมสนทนาธรรมข้อแรกกับหลวงพี่
“หลวงพี่ครับ พระพุทธเจ้าสอนหลักธรรมว่าด้วยการรอบ้างไหมครับ?”
หลวงพี่หันมาแล้วยิ้มตอบ “ท่านไม่มีการรอ เมื่อใดที่รอ ก็หมายถึงกำลังโหยหาอนาคต ปฏิเสธช่วงเวลาปัจจุบัน”
เสียงระฆังดังกังวานขึ้นในใจ ผมจึงประนมมือขอบคุณหลวงพี่ ว่าแล้วก็รอแท็กซี่ต่อไป เป็นการรอที่ผ่อนคลายขึ้น เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ตีสองยี่สิบ
ตอนนี้เองที่หัวมุมถนนนั้น รถแท็กซี่เหลืองล้วนหันหัวเลี้ยวมาหาเรา
“เมื่อใดที่รอ ก็หมายถึงกำลังโหยหาอนาคต ปฏิเสธช่วงเวลาปัจจุบัน”