เช้าที่แดดอ่อนพอให้นั่งจิบกาแฟได้ ผมปิดหน้าหนังสือเก่า “คืนวันที่ผันผ่าน” ของอาจารย์สมภาร พรมทา ที่เพิ่งได้มาจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ มีบทหนึ่งที่ผมอยากจะอ่านให้ฟัง เป็นบทกวีที่มีชื่อว่า ชีวิตกับความสุข
….ชีวิตคนต่างไขว่คว้า หาความสุข
ต่างเกลียดกลัวความทุกข์ที่ถาโถม
แต่น้อยนักจะปลอดทุกข์ที่จู่โจม
จึงน้ำตาอาบชโลมในดวงตา….
ชีวิตของคนเรา มีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไป หากเอาตาชั่งสองแขนแบบโบราณมาชั่งวัด ให้ข้างหนึ่งเป็นความสุข ส่วนอีกข้างนั้นเป็นความทุกข์ ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าอันไหนมากหรือน้อยกว่ากัน เพราะความสุขกับความทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับบางช่วงของชีวิต บางครั้งความทุกข์ยากอาจจะท่วมท้น จนตาชั่งฝั่งความสุขดีดตัวลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ขณะที่อีกฝั่งหล่นตุ้บลงติดพื้นด้วยน้ำหนักของความทุกข์ที่มากกว่า
ผมนึกถึงเรื่องเล่าชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ตั้งแต่ครั้งยังสาวๆ พอหลังจากที่แต่งงานมีสามี มีลูก และใช้ชีวิตทำมาหากินอย่างสัมมาอาชีพ ชีวิตก็ดูจะมีความสุขดีในตอนเริ่มต้น แต่ต่อมาเคราะห์ร้ายสามีเกิดอุบัติเหตุทำให้ร่างกายพิกลพิการทำงานไม่ไหว แม้แต่จะช่วยเหลือตัวเองยังไม่ได้ ต้องเป็นภาระหลักที่แกจะต้องคอยดูแลสามีและลูกๆ อีกหกคนตามลำพัง ฝ่ายสามีเห็นภรรยาต้องมาพลอยลำบากทำงานหนักเพื่อดูแลตัวเองและครอบครัว จึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง คิดอยากฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง จนภรรยาต้องมาคอยปลอบให้กำลังใจ ไม่ให้สามีคิดฆ่าตัวตายอีก โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะอยู่ดูแลกันจนกว่าจะตายจากกันไป ถึงแม้จะต้องทุกข์ยากลำบากสักเพียงไหนก็ตาม
ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป ขึ้นอยู่กับบางช่วงของชีวิต
ชีวิตของผู้หญิงคนนี้มีแต่ความทุกข์เต็มไปหมด ความหวังของแกตอนนั้นคือไปพึ่งหมอดู หวังว่าหมอดูจะทำนายทายทักให้ว่าเมื่อไหร่ความทุกข์มันจะหดหายไปเสียที หมอดูได้ตรวจโชคชะตาของแกและบอกว่าปีหน้าจะดีขึ้น เพียงเท่านั้นความหวังจากหมอดูทำให้แกกลับมามุ่งมั่นทำงาน ส่งเสียลูกเต้าให้ได้เล่าเรียนและดูแลรักษาสามีทั้งกายและใจ แต่ความทุกข์มันก็ยังรุมเร้าอยู่ไม่ขาดหาย มันทั้งเหนื่อยแสนเหนื่อยและบางครั้งก็เศร้าใจอาลัยหมดหวังขึ้นมาอีก และเธอก็กลับไปหาหมอดูคนเดิมและไปอย่างนั้นทุกๆ ปี สิ่งที่แกได้กลับมาก็เพียงแค่บอกว่าปีหน้าจะดีขึ้น ปีต่อๆ มาแกก็เห็นว่าชีวิตมันก็ดีขึ้นจริงๆ แต่ดีขึ้นน้อยมาก เป็นอยู่อย่างนั้นหลายปี
เมื่อเวลาผ่านไปชีวิตของแกก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนมีเงินเก็บและดูแลลูกเต้าให้เล่าเรียนจนจบ มีครอบครัวและแยกย้ายกันไปทำมาหากิน ส่งเงินทองมาเกื้อหนุนแกบ้าง ทำให้แกไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป หลังจากที่ผ่านช่วงทุกข์ยากเหล่านั้นมาแล้ว แกตัดสินใจไปเรียนวิชาหมอดูด้วยความอยากจะช่วยเหลือคนอื่น พอร่ำเรียนวิชาการดูดวงสำเร็จแล้ว แกก็ได้สำรวจตรวจดูดวงชะตาของตัวเองย้อนหลังว่าช่วงที่แกมีความทุกข์อยู่หลายปีนั้น ดวงแกเป็นอย่างไร ปรากฏว่าดวงชะตาแกตกตั้งยี่สิบปี หมอดูคนนั้นไม่ได้บอกความจริงกับแกทั้งหมดคือทยอยบอกทีละปีว่าชีวิตจะดีขึ้น ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อยแต่มันก็ดีขึ้นจริงๆ และแกก็มีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อมาเรื่อยๆ แกนึกขอบคุณหมอดูคนนั้น ถ้าหากหมอดูบอกตั้งแต่ตอนแรกว่าดวงแกตกยี่สิบปี แกก็คงคิดฆ่าตัวตายเหมือนกับสามีไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น
ตอนได้ฟังเรื่องนี้แล้วผมก็ได้ครุ่นคิด และทำให้ได้แง่คิดสำคัญจากเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้น และเอามาใช้กับชีวิตของตัวเองอยู่ตลอดว่า ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป และบ่อยๆ ครั้งที่เจอเรื่องราวในชีวิตก็จะคิดเสมอว่า มันไม่อยู่กับเราไปตลอดหรอก เดี๋ยววันหนึ่งมันก็จะผ่านไป ทำให้เราไม่จมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ทำให้เรามีความหวัง ให้เรารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคมันจะเข้ามาเป็นแบบฝึกหัดให้เรา
ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็จะหายไป