ถ้าคุณเป็นคนยุคมิลเลเนี่ยน (อายุระหว่าง 18-35 ปี) คุณอาจใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงต่อวันเพื่อที่จะเสพสื่อต่างๆ โดยใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมงอยู่กับโซเชียลมีเดียที่หลากหลายรูปแบบ เช่น 2 ชั่วโมงเล่นเฟสบุ๊ค 3 ชั่วโมงในการส่งข้อความ และหนึ่งชั่วโมงสำหรับการดูหนัง นั่นเท่ากับใช้เวลารวม 6 ชั่วโมง หรืออาจจะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงต่อวันถ้าทำทุกอย่างพร้อมกัน
การบริโภคสื่อซึ่งรวมถึงการส่งข้อความ การท่องอินเทอร์เน็ต ดู Netflix และการเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือ เราอยู่กับโทรศัพท์ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ หรือแม้แต่การหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตลอดเวลาในช่วงพักระหว่างวัน ทำให้โทรศัพท์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ให้เราได้เชื่อมโยงกับคนอื่น และเป็นประตูเปิดสู่โลก รวมทั้งทำให้เราเสพติดอยู่กับมัน!
…ถ้าหากเป้าหมายของเราคือการใช้ชีวิตอย่างมีสติ เราต้องกลับมาทบทวนการใช้งานและการติดตัวไปทุกหนแห่งของอุปกรณ์ชนิดนี้…
กุญแจที่จะนำไปสู่การใช้ชีวิตที่มีสติ คือ การหาช่วงเวลา “หยุด” เพื่อที่จะกลับมาดูความตั้งใจเดิมของเรา กลับมาดูร่างกายของเราและหัวใจของเรา ก่อนที่เราจะไถลออกนอกทางไปกับสิ่งที่เราชื่นชอบ
เมื่อไรที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมื่อใดที่กดเข้าไปดูในโซเชียลมีเดียให้กลับมาดูว่า “เรารู้สึกอย่างไร” เมื่อเปิดเข้าไปดูหน้าเพจของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นในขณะที่โพสต์และเลื่อนลงมาดูข้อความต่างๆ เรารู้สึกอย่างไรหลังจากนั้น
สำหรับฉันก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และก่อนที่ถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าในโลกโซเชียล ในบางครั้งที่ฉันหยุดคิด และพบว่ามีความเหงา ความรู้สึกไม่เชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ มีความเศร้ารอฉันอยู่ในโทรศัพท์นั้น ซึ่งมันทำให้ฉันกลัว
หากเป้าหมายของเราคือการใช้ชีวิตอย่างมีสติ เราต้องกลับมาทบทวนการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้
เมื่อไรก็ตามที่เริ่มเข้าสู่แอพพลิเคชั่นต่างๆ ทั้งที่มีสติอยู่บ้างและทำโดยอัตโนมัติ ฉันก็จะตกลงสู่หลุมดำโดยทันที โพสต์ต่างๆ ทั้งทวีต รูปภาพ วิดีโอและมีม ฉันพอใจที่ได้อ่านเรื่องราวของเพื่อนและคนในครอบครัวที่อยู่ไกล มีคนเข้ามากดไลค์และชื่นชมกับข้อความและภาพที่โพสต์ ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมงที่จะเลื่อนหน้าจอเพื่ออ่านข้อความ แสดงความเห็น และดูภาพถ่าย มันทำให้สติหลุดลอยออกไปจากปัจจุบัน
หลังจาก 20 นาทีผ่านไป หรืออาจจะนานกว่านั้นที่เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ ฉันจึงเริ่มตระหนักว่าถูกดูดเข้าไปสู่โลกของโซเชียลมีเดีย และคิดได้ว่ามันก็เหมือนกับการกินอาหารขยะ ถ้าเรากินมากไปก็จะทำให้เราป่วยได้ ตอนนี้เองที่ฉันเริ่มรู้สึกเหงา มันช่างต่างจากตอนที่เริ่มเปิดเข้าไปดูในโทรศัพท์
“ชีวิตและความตายคือสิ่งสำคัญสูงสุด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และโอกาสกำลังจะสูญเสียไป…
ตื่นเถิด! ตื่นเถิด!
ค่ำคืนนี้ วันเวลาของเธอกำลังจะหายไป
อย่าใช้ชีวิตให้สิ้นเปลือง”
ทุกครั้งที่ท่องบทนี้ ทำให้นึกถึงวันเวลาที่ใช้ไปกับโซเชียลมีเดีย คิดถึงเวลาที่มีค่าที่ใช้ไปในการดูเรื่องราวของเพื่อนและคนที่รัก เวลาที่ถูกใช้ไปกับการเลื่อนหน้าจออย่างไม่สิ้นสุดจากการเช็คข้อความและคำเชิญ จากการอ่านบทความที่น่าสนใจทั้งหลาย มันทำให้รู้สึกเศร้า อยากที่จะมีความตระหนักมากขึ้น และตื่นจากการอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย เพื่อกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริงอีกครั้ง
อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวในการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป คือสิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “จิตเปรียบเทียบ” การเปรียบเทียบชีวิต มุมมอง ความสำเร็จ และแม้กระทั่งความสามารถในการทำสมาธิ ในโลกของโซเชียลมีเดีย ในที่ที่ผู้คนมักจะโพสต์ช่วงเวลาดีๆ รูปสวยๆ หรือข่าวดีทั้งหลาย ซึ่งมันง่ายมากที่จะทำให้คิดได้ว่า มีเพียงแต่เราเท่านั้นที่เจอแต่เรื่องร้ายๆ
ฉันยังจำวันหนึ่งในวิทยาลัยได้ ในตอนนั้นฉันได้ค้นหาเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่วางแผนว่าจะประชุมร่วมกัน ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอายุมากกว่าฉันเพียงสองสามปี ฉันพบว่ามีบทความนับร้อยที่เธอเขียน รางวัลที่เธอได้รับ และมันทำให้ฉันต้องกลับมาลองค้นชื่อของฉันในคอมพิวเตอร์ …ไม่พบอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย… ฉันไม่มีตัวตน น้ำตาเริ่มไหลลงมาที่ใบหน้า จิตเปรียบเทียบของฉันกำลังทำงานเต็มที่ ฉันไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างเธอ ฉันไม่มีทางที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย และวันนั้นทั้งวันฉันก็อยู่ในความเศร้าซึมหลังจากปิดคอมพิวเตอร์
จิตเปรียบเทียบจะเริ่มทำงานเมื่อเรารู้สึกไม่ปลอดภัย มันเริ่มจากฐานของความรู้สึกขาดหาย (ฉันไม่เป็นที่รัก, ฉันไม่มีคุณค่า) และการส่งใจออกไปข้างนอกเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเป็นไปตามสมมติฐานนั้นจริงหรือไม่ เช่น การเปรียบเทียบว่าถ้าฉันดูดีกว่าลิลลี่ฉันก็จะเป็นคนสวย ถ้าฉันทำได้ดีกว่าจิมฉันจะประสบความสำเร็จ ปัญหาก็คือจิตเปรียบเทียบนั้นจะสั่นคลอนฐานของความรู้สึกไม่มั่นคง มันไม่เคยพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ คำตอบที่ได้ไม่จบลงที่ฉันเป็นที่รักหรือฉันประสบความสำเร็จ
สิ่งที่น่ากลัวของการใช้โซเชียลมีเดียมากเกินไป คือการนำชีวิตของผู้อื่นมาเปรียบเทียบกับตัวเอง
ถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่อันดับต้นๆ ของการเปรียบเทียบก็ตาม แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางคนที่ดีกว่าเราเสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือแม้ว่าเราจะดูดีที่สุด เป็นที่รักที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุดในสายตาคนอื่น แต่การยอมรับเหล่านั้นก็มาจากภายนอก ไม่ใช่การยอมรับตัวเอง เราก็ยังคงเป็นทุกข์อยู่
สิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตเปรียบเทียบคือ “การมีตัวตน” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราก็แสดงออกผ่านทางโซเชียลมีเดียด้วย มันเป็นที่ๆ เราสร้าง “ยี่ห้อ” ของตัวเองเพื่อแสดงภาพลักษณ์ของเราออกมา และเพื่อที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่น
ดังนั้นสิ่งแรกของการมีสติในการเสพเทคโนโลยีก็คือ การหยุดและตระหนักรู้ถึงพลังของเครื่องใช้เหล่านี้ที่มีต่อเรา การถามตัวเองก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ใช้ การ “หยุด” และปรับพฤติกรรมตัวเองเมื่อเราทำให้มันเป็นอัตโนมัติ และไม่ใช้มันมากไปจนกลายเป็นการเสพติด
ความวิเศษของการตระหนักรู้ที่อยู่ในช่วงจังหวะชีวิตของเรา คือ เราไม่จำเป็นที่จะต้องการอุปกรณ์พิเศษ พื้นที่สงบเงียบ หรือคำแนะนำที่สลับซับซ้อนในการที่จะฝึกฝน เพราะเราสามารถฝึกสติไปได้ในทุกที่ที่เราอยู่ ในทุกสิ่งที่เราทำ ในท่ามกลางชีวิตที่ดำเนินไปของเราเอง