คนเมืองใหญ่อยู่ในบ้านเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อดับร้อน จะเปิดพัดลมส่ายหน้าซ้ายไป-ขวามาในสมัยนี้ รู้สึกว่าลมร้อนมันระอุซะจนจะให้หมุนไปทางไหนก็ไม่สบายเนื้อสบายตัวกันจริงๆ เรื่องนี้ต้องยกให้กระแสโลกร้อนที่ทำให้รู้สึกร้อนเอามากๆ แต่ก็มีเหมือนกันที่บางคนสามารถโต้ลมร้อนไหว ทนได้ทนดี ตัวร้อนน่ะรึ ไม่เท่าไหร่หรอก เอาน้ำเย็นลูบเข้า เดี๋ยวก็ทุเลา ร้อนใจนี่สิยาก รู้ไหม? อยู่ในเมืองมีแต่ตึกซ้อนกันหลายชั้นกับรถติดกันเป็นแถว พลอยทำให้เราคาใจอยู่บ่อยๆ เทียบกับชนบทแล้ว มันสบายดีกว่าไหนๆ ที่โล่งมีเยอะ มองไปไกลๆ สักเดี๋ยวก็คลายใจลงไปได้เอง เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ไม่ได้ย้ำคิดย้ำทำอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ที่มันติดใจก็เลยหายหมด
อยู่บนบ้านเปิดหน้าต่าง อากาศหมุนเวียนถ่ายเทดี อยู่ใต้ถุนบ้านสูงโปร่งมีลมโกรกเอื่อยๆ ให้เย็นใจ หากมีเถียงนา (กระต๊อบปลายนา) มุงหญ้าคงจะเย็นทั้งกายสบายที่ใจไปด้วยเลย ถ้าออกไปผจญอากาศร้อนข้างนอก กลับบ้านอาบน้ำได้คงจะดี ทั้งเย็นทั้งสดชื่นรู้สึกสะอาดสบายเนื้อสบายตัว ถ้ายังไม่ถึงบ้าน ไม่มีน้ำ ขอให้นั่งพักใต้ร่มไม้สักเดี๋ยวก็เย็นได้เช่นกัน หรือจะเลือกกินน้ำเย็น ดื่มน้ำหวานเย็นชื่น จิบชากาแฟให้กระปรี้กระเปร่า ก็แล้วแต่ ใจใครใจมัน หากรู้ใจเราได้เอง ก็คงหาทางทำให้ถูกใจเราไปแล้ว จะด้วยวิธีดับร้อนฉ่ำเย็นต่างๆ นานาก็ว่ากันไป
สังคมสมัยนี้ผู้คนเปลี่ยนไปทำอะไรกันแปลกๆ ถ้าจะว่ากันตามโลก มันก็ไม่เหมือนเก่ามาตั้งแต่สมัยคนรุ่นปู่รุ่นย่านั่นแล้ว ถึงคนมีบ้านอยู่แต่ใช่ว่าเราจะอยู่ที่บ้าน มีเหตุผลมากมายเต็มไปหมดแล้วแต่ว่าเราจะสรรหามาบอกว่า “เหตุที่เราจึงอยู่บ้านไม่ได้” แต่ถ้าเลือกได้ บ้านแบบใดที่เราจะอยู่กัน บ้านทรงยุโรปสไตล์โมเดิร์นรึ หรือว่าจะเป็นคอนโดฯ อยู่แฟลตก็น่าจะดีราคาไม่แพง ใกล้ที่ทำงานใกล้โรงเรียนของเจ้าตัวน้อย หรือจะเป็นบ้านเช่าในเมือง แบบเกรสเฮ้าส์ทาวน์เฮ้าส์ ขอให้มีเงินเถอะ จะไปนอนโรงแรมหรูๆ ความสำคัญคงไม่ได้อยู่ที่ชนิดหรือรูปแบบของบ้านหรอก แต่มันอยู่ที่วิถีชีวิตของผู้คนในบ้านหลังนี้กับชุมชนหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ด้วยต่างหาก
ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านมักจะพูดว่า อะไรๆ เมื่อก่อนมันดีกว่าตอนนี้มาก จะอยู่บ้านก็สร้างบ้านในชุมชนเดียวกัน แบบบ้านมันก็มีไม่กี่อย่าง ยกเสาทำตีโครงบ้านคล้ายๆ กัน ลงแขกช่วยกันไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว มีหน้าต่างไม้หลายบาน มีประตูเข้าออกหน้าบ้านหลังบ้าน จะปิดหน้าต่างกระจกแล้วทั้งวันเอาแต่เปิดแอร์นี่ ข้างในบ้านมันก็เย็นดีอยู่ แต่ข้างนอกน่ะสิร้อนชะมัด บ้านบางหลังหน้าต่างประตูติดเหล็กดัดกักขังคนนอกไม่ให้เข้าได้ง่ายๆ คนในก็ออกยากหน่อย เขาว่ามันปลอดภัยดี แต่พ่อไม่ค่อยสบายใจ เหมือนอยู่ในคุกยังไงไม่รู้นะ ว่ามั้ย?
ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้บรรยากาศแบบเก่าๆ คำพูดถ้อยทีถ้อยอาศัยกันแทบจะเลือนหายไปหมด ไม่เหมือนในอดีตที่แล้วมา ชุมชนญาติพี่น้องแวดล้อมไปด้วยหมู่มิตรผองเพื่อนที่รู้จักมักจี่กัน อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงในละแวกเดียวกัน อีกทั้งความเรียบง่ายของบ้านที่อยู่ทำให้วิถีชีวิตไม่ค่อยจะยุ่งวุ่นวายนัก ร่างกายและจิตใจก็ป่วยไข้น้อยเพราะการดำเนินชีวิตไม่ได้ซับซ้อนยากลำบากจนต้องแข่งขันกับผู้คนและเวลาเหมือนกับสมัยนี้ เวลาอยู่บ้านจึงรู้สึกว่ามีใจอยู่บ้านจริงๆ เคยเห็นโฆษณาโทรศัพท์บ้านไร้สายเมื่อก่อนนี้ พยายามชวนเราให้ซื้อ ถ้าใช้โทรศัพท์รุ่นนี้ยี่ห้อนี้แล้ว เอาติดตัวไปด้วยนอกบ้านจะโทรหาใครก็ย่อมได้ ไม่ว่าตรงไหนในกรุงเทพฯ ก็เหมือนอยู่บ้าน “อยู่ที่ไหนเนี่ย?” “ก็บอกแล้วไงว่าอยู่บ้าน!” “อยู่บ้านจริงเร้อ?” ถึงตัวไม่ได้อยู่บ้านแต่โทรศัพท์เบอร์บ้านมันก็เชื่อมสายเหมือน “อยู่บ้าน” ก็แค่เหมือน แต่ไม่จริง
“บ้าน” คือที่พักอาศัย มีหลังคาเอาไว้กันแสงแดด มีผนังกำบังลม มีห้องน้ำมีห้องนอนและห้องครัวให้ทำกิจธุระต่างๆ ตามประโยชน์ใช้สอย มีประตูสำหรับเข้าออก และมีหน้าต่างเปิดปิดเวลาร้อนหนาว หลายคนบอกว่าเวลาอยู่บ้านก็เป็นตัวของตัวเองได้อยู่หรอก แต่พอออกไปข้างนอก ตัวตนตามภาระหน้าที่การงาน กาลเทศะ และสถานที่กลายเป็นสิ่งสำคัญขึ้นมา … ฉันอยู่นี่ … เธออยู่ไหน … ตัวเราหายไป กลืนหายในสังคม … หลายคนพอได้กลับมาบ้านจึงรู้สึกอบอุ่นสบายใจ แต่คนอีกจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้มีโอกาสเช่นนั้น จะเรียกว่าโอกาสคงไม่ถูกนักหรอก ถ้าว่ากันจริงๆ เหตุและปัจจัยต่างๆ มันไม่เอื้ออำนวยให้เป็นไปตามสภาพที่เป็นอยู่จริงเท่าไหร่ คือแม้ว่าความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ แต่ใจเรามันยังยอมรับได้ยากอยู่ดี จะมีอะไรผิดปกติรึ? มันก็น่าจะเกิดขึ้นมาจากความเข้าใจต่อปรากฎการณ์ภายในใจที่ผิดเพี้ยนไป ซึ่งก็คือสิ่งที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนั่นเอง
นักปราชญ์สมัยก่อนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ความเป็นบ้านมันไม่ใช่แค่มีผนังกำบังล้อมรอบเท่านั้น แต่ส่วนสำคัญที่ทำให้บ้านเป็นบ้านขึ้นมาคือ มีทางเข้าออกและมีหน้าต่าง ทางเข้าออกสำหรับมนุษย์คือ ปากกับทวารเพื่อรับเข้ามาและถ่ายออกไปตามลำดับ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวาจริงไหม เวลาเราเดินผ่านบ้านที่มีคนเข้าคนออกบ่อยๆ หรือมีเสียงดังเล็ดรอดออกมาให้เราได้ยินหรือแม้กระทั่งมีกลิ่นต่างๆ สารพัดสารเพ มันชวนให้เราคิดนึกจินตนาการและรู้สึกได้ไม่ยากว่ามีคนอยู่ในนั้นและกำลังทำกิจกรรมต่างๆ
ส่วนของหน้าต่างเปิดออกเปรียบได้กับ ตา หู จมูก ซึ่งทำหน้าที่คล้ายอวัยวะส่วนบนใบหน้ามนุษย์ให้เราใช้มองดู ฟังเสียง ได้กลิ่น หรือสัมผัสบรรยากาศตลอดจนเรียนรู้จักสิ่งต่างๆ ข้างนอกตัวบ้านด้วยความมีชีวิตที่รับรู้ได้จากภายใน ซึ่งดูไปจะคล้ายคลึงกับความเป็นมนุษย์ในตัวเรา อีกทั้งยังมีส่วนผนังกำแพงสี่ด้านและหลังคาที่ทำหน้าที่ปกป้องร่างกาย อวัยวะส่วนภายใน (ข้าวของเครื่องใช้) และจิตใจ (ชีวิตคนข้างใน) ให้ดำรงชีวิตอยู่ได้
ถ้าเช่นนั้น บ้าน มันก็คือที่อาศัยแบบหนึ่งซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นจากการเลียนแบบตัวมนุษย์เอง เพื่อประโยชน์สอยที่เป็นมากกว่าแฟชั่นโก้หรูหรือบ่งบอกสถานะทางสังคม แม้กระนั้นก็ตามมันกลับเป็นสิ่งก่อสร้างที่เราสามารถนำมาประกอบการชี้วัดพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมแต่ละยุคสมัยได้ดี รวมถึงในยุคปัจจุบันนี้ เหมือนๆ กับในสมัยหินใหม่ มนุษย์นิยมสร้างบ้านบนที่ลุ่ม ติดทะเล บนพื้นน้ำและในที่เลน คนเหล่านั้นจึงนิยมใช้ไม้ทำเป็นตัวบ้านขึ้นมา เพราะมีน้ำหนักเบาและสร้างเสร็จได้อย่างรวดเร็ว และด้วยโครงสร้างที่เป็นไม้นี่เอง มันจึงง่ายต่อการทำประตูและหน้าต่าง ซึ่งคนในสมัยนั้นเชื่อกันว่าทำให้อากาศถ่ายเทสะดวกเป็นผลดีต่อสุขภาพ
แม้ว่าความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ แต่ใจเราก็ยังยอมรับได้ยากอยู่ดี สิ่งนี้คงเป็นผลมาจากความเข้าใจต่อปรากฎการณ์ภายในใจที่ผิดเพี้ยนไป
คุณโนอาร์ เบน ชี เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือของเขาเรื่อง “เจค็อบคนทำขนมปัง” ว่า สิ่งที่ทำให้บ้านต่างจากโลงศพคือ หน้าต่าง หน้าต่างคือช่องทางรับรู้โลกข้างนอก ในขณะเดียวกันผู้อยู่ภายในก็ยังรับรู้อาการต่างๆ ข้างในบ้านได้ด้วย บ้านมีไว้ให้คนมีชีวิตอาศัยอยู่ทำสิ่งต่างๆ แต่โลงศพนั้นมีไว้สำหรับรองรับผู้ไม่มีลมหายใจที่ได้ยุติบทบาทหน้าที่ในชีวิตนี้แล้ว เพราะอากาศไม่ถ่ายเทเราจึงมีชีวิตอยู่เหมือนซากศพ หรือเพราะว่าชีวิตมันตายตัวจนทำให้เราปิดหน้าต่างการรับรู้เหลือเพียงสิ่งที่เราเชื่อเท่านั้น เหมือนกับคนเป็นศพที่พูดไม่ออก บอกไม่ได้ ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่นอนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ถึงแม้ว่าอากาศจะถ่ายเท และเย็นสบายดีก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้วล่ะ
มีข่าวดีมาบอก คือปัจจุบันนี้โลงศพเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อให้รักษาซากศพได้นานวันยิ่งขึ้น เครื่องปรับอากาศจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทนอกไปจากความเย็นของน้ำแข็งที่ช่วยชะลอไม่ให้ร่างกายเปื่อยเน่า ตอนนี้จึงมีความเย็นในที่อากาศไม่ถ่ายเทและไม่มีหน้าต่างประตูเพิ่มขึ้นมาเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งเหมือนห้องแอร์บ้านเรา