ชีวิตที่เคร่งเครียดดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในสังคมทุกวันนี้ ไม่เฉพาะแต่คนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น แต่ความเครียดได้แทรกซึมไปทั่วทุกหัวระแหงแม้แต่ในชนบท
ความเครียดเป็นผลสืบเนื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการพัฒนาประเทศ แนวทางการพัฒนาประเทศที่เราเลือกใช้อาจทำให้เรามีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น เหนื่อยกายและใช้แรงน้อยลง แต่เราต้องแลกมาด้วยความเครียด และความเหนื่อยล้าทางใจ
สถิติล่าสุด (พ.ศ.๒๕๔๙) ระบุว่าทุกวันนี้คนไทยร้อยละ ๖๗.๖ อยู่ในภาวะเครียด
ตัวเลขดังกล่าวอาจทำให้หลายคนเข้าใจว่าความเครียดเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนยุคนี้ หรือมองว่าความเครียดเป็นเรื่องดีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการทำงานที่ให้ผลผลิตสูง คนที่ไม่เครียดต่างหากที่กลับกลายเป็นคนส่วนน้อยที่แปลกประหลาดของสังคม และทำให้สังคมเฉื่อยชาล้าหลัง
การเติบโตขึ้นของธุรกิจเพื่อคลายเครียด ไม่ว่าร้านอาหาร สถานบันเทิง สปา ธรรมชาติบำบัด หรือยอดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของยาคลายเครียดล้วนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเครียดที่มีเพิ่มขึ้น
ปรากฏการณ์เหล่านี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าวิธีหาทางออกจากภาวะเครียดที่ได้รับความนิยมของคนยุคนี้ หลายวิธีกลับสร้างความเครียดเพิ่มขึ้น หรือก่อผลเสียให้กับสุขภาพมากขึ้น อาจทำให้ต้องพึ่งพิงอยู่กับบริการหรือผลิตภัณฑ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
คนส่วนใหญ่รู้ว่า “แค่ผ่อนคลายก็หายเครียด” แต่เชื่อว่าหลายคนรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะทำความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้เพราะความเครียดไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของร่างกาย หรือจิตใจ แต่เป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่ได้รับการปลูกฝังถ่ายทอดกันมาอย่างลึกซึ้งในสังคม
คนที่เติบโตมาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน เมื่ออยู่ในภาวะเดียวกันจะมีความเครียดต่างกัน ดูง่ายๆ จากคนต่างจังหวัดที่คอยรถกันทีละหลายๆ ชั่วโมงเพื่อนั่งรถเข้าหมู่บ้าน พอรถมาแล้วก็ยังวิ่งหวานเย็นกันไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนก็ดูมีความสุขกันดี ไม่เครียดไม่เดือดร้อน พูดคุยกันไปตลอดทาง
ผิดกับคนในเมืองรอรถ ช้าไป ๕ นาที ๑๐ นาที ก็เริ่มเครียด เริ่มบ่นโวยวาย อาจกล่าวได้ว่าคนทุกวันนี้เครียดง่ายขึ้น วิถีชีวิตยุคนี้ผลักดันให้เราต้องพบกับความเครียดมากขึ้น หลายๆ ครั้งก็เครียดอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อไม่รู้ตัวว่าเครียด ก็ไม่รู้ว่าจะต้องผ่อนคลาย เมื่อไม่รู้จักภาวะแห่งการผ่อนคลายที่แท้จริง ก็วนกลับมาทำให้ไม่รู้ว่าตนกำลังเครียดอยู่
บางคนไม่รู้ตัวว่ากำลังขมวดคิ้ว หรือเกร็งไหล่อยู่ตลอดเวลา บ้างก็เม้มปาก เก๊กหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ และที่สำคัญคือคนจำนวนมากทั้งๆ ที่รู้ว่าเกร็งหรือเครียดอยู่แต่ก็ไม่สามารถผ่อนคลายให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่ไม่เกร็งได้
การจะสร้างภาวะแห่งความผ่อนคลายให้เกิดขึ้น จึงต้องอาศัยสภาพสังคมวัฒนธรรมที่เกื้อหนุนจึงจะทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันแต่ละคนคงต้องฝึกที่จะสัมผัสกับความผ่อนคลายของตนเองไปด้วย
การสร้างสังคมที่ไม่เครียดอาจดูเป็นเรื่องยากที่เราจะเข้าไปจัดการได้ แต่ก็ไม่ควรละเลยหากมีโอกาสที่จะช่วยกันสร้างสังคมแบบนี้ให้เกิดขึ้น ส่วนการฝึกเพื่อสัมผัสกับการผ่อนคลายเรายังพอทำได้ด้วยตัวเอง
อาจต้องเริ่มด้วยทัศนะที่ถูกต้องก่อนว่า คนเราสามารถอยู่อย่างไม่มีความเครียดได้ และก็เป็นสิ่งที่ดีที่ควรทำให้เกิดขึ้น และการที่ไม่เครียดก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเฉื่อยชา หรือเป็นเรื่องผิดปกติ
การทำงานหรือดำเนินชีวิตด้วยตัณหา คือ อยากได้นั่น ได้นี่ ได้รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่อยากได้สิ่งนั้นหรือไม่ต้องการรับรู้เรื่องนี้ ในพุทธศาสนาถือว่าเป็นต้นเหตุของความเครียดและปัญหาหลายๆ อย่าง
ส่วนการดำเนินชีวิตด้วยฉันทะ คือ ทำด้วยความรัก ความสนใจ ใส่ใจในงาน อยากให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น โดยไม่ได้คิดจะเอาเข้าตัวเป็นที่ตั้ง ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นได้โดยไม่ต้องเครียด หรือทุกข์
สำหรับการฝึกผ่อนคลายจากความเครียดในแง่นี้ก็ไม่ใช่เพียงแค่การกลบเกลื่อน หรือทำให้รู้สึกตื่นเต้น สนุกสนานจนลืมความเครียดไปพักหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการฝึกฝนเพื่อทำให้เราเกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้ในทุกๆ ขณะของการใช้ชีวิต เพราะเราคงไม่สามารถหลีกหนีความเครียดได้บ่อยๆ
เมื่อไม่รู้ตัวว่าเครียด ก็ไม่รู้ว่าต้องผ่อนคลาย เมื่อไม่รู้จักการผ่อนคลายที่แท้จริง ก็เลยไม่รู้ตัวว่ากำลังเครียดอยู่
บางคนที่เคยชินอยู่กับความเครียดมานาน อาจต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำในเบื้องต้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเอง อาจต้องเริ่มด้วยการหาเวลา หาเทคนิคที่เหมาะกับตนเองมาทดลองฝึกดูว่า วิธีการใดที่จะช่วยให้เราผ่อนคลายได้ง่ายที่สุด
อาจเริ่มต้นด้วยการฝึกความไวต่อการรับรู้ความเครียดของตนเองก่อน เช่น ตรวจสอบลมหายใจว่าราบเรียบ สม่ำเสมอดีหรือเปล่า ดูว่าคิ้วเราขมวดอยู่หรือเปล่า ยกเกร็งไหล่อยู่หรือไม่ เป็นต้น ถ้าพบว่าเกร็งอยู่ก็คลายออก
การสำรวจเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ ช่วยให้เราไวต่อความเครียดที่แอบเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว และจะคลายได้เร็วขึ้น
ถ้าเป็นไปได้อาจเลือกบางช่วงเวลาของวันฝึกผ่อนคลายอย่างเป็นกิจลักษณะมากขึ้น อาจใช้ช่วงเวลาหลังอาหารกลางวัน นั่งหรือนอนในท่าที่ผ่อนคลายหลับตานิ่งๆ ฟังเพลงเย็นๆ ทำใจนิ่งๆ สักพักก็ช่วยได้มาก
บางคนอาจเลือกใช้วิธีการเกร็งส่วนที่ตึงที่เครียดนั้นให้เต็มที่จนทนไม่ได้ แล้วค่อยปล่อย จากนั้นพยายามรับรู้ถึงความรู้สึกผ่อนคลายที่เกิดขึ้นในช่วงขณะนั้นก็ได้
เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้นไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เป็นภัยร้ายที่ทำให้เกิดโรคและความเสื่อมโทรมของร่างกายได้ทุกระบบ
การอยู่กับชีวิตและร่างกายที่ผ่อนคลาย จึงเป็นการสร้างเสริมสุขภาพขั้นพื้นฐานทั้งทางร่างกายและจิตใจ ลองฝึกฝนกันดูนะครับ