ปลดเปลื้องความโกรธ

ปรีดา เรืองวิชาธร 13 มีนาคม 2011

อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดในจิตใจขณะโกรธนั้น มักจะปั่นป่วนแผดเผาด้วยไฟที่อยากทำร้ายทำลายคนหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าที่ทำให้เราโกรธ เราอยากพูดหรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้คนนั้นสิ่งนั้นพังพินาศหรือได้รับความทุกข์เจ็บปวดอย่างสาสมกับสิ่งที่เขาทำกับเรา เราจึงทั้งโกรธทั้งสะใจหากเขาได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดเป็นการตอบแทนบ้าง

แต่หลังจากพายุแห่งความโกรธเคืองจางคลายหายไปแล้ว มันได้ทิ้งซากปรักหักพังทางจิตใจและความสัมพันธ์ไว้เป็นริ้วรอยบาดแผลให้เราต้องแก้ไขเยียวยาต่อไปอีกนาน  เป็นต้นว่า ฝากเป็นร่องลึกแห่งความคุ้นเคยที่จะโกรธอะไรได้ง่าย  ฝากเป็นความผูกโกรธที่พอรำลึกนึกถึงหรือเพียงเฉียดกรายเข้าใกล้คนคนนั้น เราก็รู้สึกปวดจี๊ดเข้าไปในทรวงและพร้อมที่จะนึกคิดปรุงแต่งจ้องเอาคืนหรือสาปแช่งให้เขาพังพินาศไปเลย  ฝากเป็นรอยร้าวลึกแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขารวมถึงเกิดบรรยากาศที่อึมครึมน่ากระอักกระอ่วนใจเวลาที่เรากับเขาต้องอยู่หรือทำงานด้วยกัน ซึ่งทำให้บรรยากาศนั้นส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นด้วย  หรือบางคราวก็ฝากเป็นความรู้สึกผิดหรือความค้างคาใจเก็บลึกอยู่ในจิตใจ

หากเราเฝ้ามองความโกรธด้วยความตระหนักรู้และใคร่ครวญลงลึกอย่างช้าๆ เราจะเริ่มมองเห็นเหตุแห่งความโกรธที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ  คนเรานั้นไม่ได้โกรธตอบเฉพาะกับคนเท่านั้น แต่เราโกรธได้แม้กระทั่งสัตว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติ หากคนนั้นสิ่งนั้นทำร้ายทำลายเราให้ได้รับความทุกข์เจ็บปวด เป็นเหตุให้เราต้องพลัดพรากสูญเสียสิ่งที่เรารักและหวงแหน ทำให้เราเสียหน้าเสียภาพพจน์ ทำให้โดนขัดใจขัดความคาดหวังความต้องการ ใส่ร้ายป้ายสีเรา ตำหนิวิจารณ์ตัวเราจนภาพตัวตนเราถูกกระทบถูกฉีกขาด เป็นต้น

ที่เราโกรธได้เป็นฟืนเป็นไฟเวลาประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นั้น ก็เพราะคนนั้นสิ่งนั้นได้เข้ามาขัดขวาง บั่นทอน ทำร้ายทำลายสิ่งที่เราอยากได้อยากเป็นอยากครอบครองด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ภาพพจน์ชื่อเสียง ศักดิ์ศรีที่คนอื่นจะดูแคลนไม่ได้ คนที่เรารัก ความก้าวหน้าทางการงาน หรือแม้แต่สิ่งของหรืออะไรบางอย่างที่ให้ความสุขแก่เรา  ยิ่งสิ่งที่กล่าวมานี้สร้างความสุขความพึงพอใจให้เรามากเท่าใด ก็จะยิ่งหมายมั่นปั้นมือที่จะได้ที่จะเป็นและพยายามครอบครองมันให้นานที่สุด และจะยิ่งโกรธและผูกโกรธลึกซึ้งรุนแรงขึ้นหากเราถูกขัดขวางจนไม่ได้สิ่งนั้นตามต้องการ  ดังนั้นยิ่งเรายึดติดสิ่งใดก็จะยิ่งโกรธได้ง่ายและรุนแรง ดังคนดีที่ดีเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง แต่กลับถือโกรธได้ง่ายหากมีใครวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นคนดีของเขา ก็เพราะด้านหนึ่งเขาติดดีจึงถูกความดีขบกัดเข้าแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวหากมองในมุมกว้างแล้ว ชีวิตในแต่ละขณะที่เรากำลังได้รับความสุขสบาย ความเพลิดเพลิน หรือรู้สึกผูกพันหวงแหนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของสิ่งใดก็ตามด้วยความไม่รู้เท่าทันจิตใจภายใน ไม่รู้เท่าทันอำนาจยั่วยวนใจของสิ่งนั้นว่ามันทรงอิทธิพลกับเราอย่างไร เราก็กำลังเดินเข้าไปสู่ดินแดนแห่งความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งความโกรธที่กำลังรอวันปะทุขึ้นมา  ดังนั้นสิ่งที่ทำให้เราเกิดสุขเวทนาในด้านหนึ่งมันเป็นสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ แต่หากเราสัมผัสสัมพันธ์อย่างไม่รู้เท่าทันในอีกด้านหนึ่งมันจึงเป็นชนวนแห่งความโกรธไปในตัวด้วย

อย่างไรก็ตาม ความโกรธก็ตามติดตัวเราทุกคนมาช้านานจนเป็นเสมือนเพื่อนเก่าสหายเก่า ครั้นจะผลักไสไล่ส่ง บังคับเก็บกดไม่ให้มันปรากฏก็ดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ยิ่งทำแบบนี้รังแต่จะรู้สึกเครียดกดดัน หรือบางคราวความโกรธก็แปลงร่างไปเป็นกิเลสวาสนาตัวอื่นที่เราไม่รู้ตัวก็ได้  เปรียบไปความโกรธก็เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หยั่งรากลงลึกในตัวเรา ก็เพราะเรารดน้ำพรวนดินจนมันเติบโตงอกงามมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจเรา  เราจะเอาชนะความโกรธได้อย่างยั่งยืนแท้จริง ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจและยอมรับเมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธที่มีอยู่ในตัวเราเสียก่อน ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธด้วยการรบกับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย หากเราเอาแต่บังคับใจไม่ให้โกรธท่าเดียว ไม่เพียงแต่จะทำให้เราเครียดกดดันภายในเท่านั้น แต่มันจะยังคงอยู่ไม่ได้หายไปไหนและกลับมางอกงามใหม่ทันทีที่มีปัจจัยเอื้ออำนวย

ที่เราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อประสบกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ก็เพราะสิ่งนั้นได้เข้ามาขัดขวางทำลายสิ่งที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากครอบครอง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้า

ดังนั้นจะดีกว่านี้ไหม หากความโกรธเกิดขึ้นมาในขณะใด ขอเพียงน้อมสติหรือความรู้สึกตัวเข้ามาลูบไล้สัมผัสจิตใจภายใน จนมองเห็นความโกรธที่กำลังเคลื่อนไหวปรวนแปรไปตามธรรมชาติของมัน เฝ้าดูจิตอย่างใส่ใจโดยไม่จำเป็นต้องพยายามบังคับหรือผลักไสความโกรธ ไม่ต้องประณามหรือตัดสินตัวเองว่าชั่วร้ายที่เป็นคนมักโกรธ  การหมั่นมองเห็นความโกรธภายในด้วยความรู้สึกตัวบ่อยๆ ความโกรธก็จะค่อยๆ จางคลายลง และหากหมั่นเฝ้าดูเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเข้าใจธรรมชาติของความโกรธได้ดีและจะปล่อยวางมันได้ในที่สุด เพราะความโกรธก็เป็นสังขารอย่างหนึ่งที่มีความผันผวนปรวนแปรอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแก่นสารแท้จริงอะไรให้เรายึดติดเหมือนกับสังขารอื่นๆ

จะดีขึ้นไหมหากเรารู้ชัดเจนว่า คนรอบข้างแบบไหน เป็นใคร สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมแบบใดที่มักชักจูงเราให้เข้าไปสู่ร่องแห่งความโกรธได้ง่าย หรือเรียกได้ว่าเป็นหลุมดำแห่งความโกรธของเรา ก็พึงหลีกเลี่ยงเสียบ้าง  แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรตั้งสติเตรียมใจไว้ให้พร้อมก่อนจะเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นคนนั้น  และจะดียิ่งขึ้นไปอีกหากเราได้ช่วยกันจัดปรับโครงสร้างหรือบรรยากาศในครอบครัว องค์กร และสังคม ให้มีลักษณะเกื้อกูลกันมากกว่าเป็นบรรยากาศที่ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งแข่งขันเผชิญหน้ากันได้ง่าย

แต่ละครั้งที่เรากำลังจะเผชิญความโกรธ ลองคิดใคร่ครวญดูก่อนว่า จริงไหมว่าก่อนจะโกรธตอบใครเราก็สูญเสียอะไรบางอย่างไปมากมายแล้วจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ดังนั้นหากเราโกรธตอบไปอีกเราจะได้อะไรบ้างจากการโกรธตอบ ลองมองให้เห็นประโยชน์และผลเสีย มองให้ลึกถึงผลกระทบในทางจิตใจและความสัมพันธ์รวมถึงกิจการงานด้วย

อีกแง่หนึ่งเราอาจคิดใคร่ครวญต่อไปว่า คนที่ทำให้เราโกรธ เขาเองมีความอ่อนแอ มีกิเลสวาสนาที่เผาลนชีวิตจิตใจให้เป็นทุกข์อยู่แล้ว เราจะไปโกรธตอบซ้ำเติมเขาเพื่ออะไรอีก  หรือมองว่าที่เขาทำให้เราโกรธนั้นอาจมีเหตุปัจจัยมากมายหลายชั้นเชื่อมโยงกันทั้งที่เขารู้ตัวและไม่รู้ตัว รวมถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่ผลักดันให้เขากระทำกับเรา เขาจึงไม่ใช่สิ่งๆ เดียวที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ดังนั้นเราจะลงโทษโกรธคนใดสิ่งใดเป็นการเฉพาะได้ละหรือ  ซึ่งเราจะใคร่ครวญมองเห็นได้อย่างลึกซึ้งก็ต่อเมื่อเรามีสติรู้สึกตัวเต็มที่ แต่หากไม่มีสติเพียงพอแล้วโกรธตอบไปแล้ว ตอนจิตว่างๆ อยู่ก็ลองใคร่ครวญทำนองนี้ก็นับว่ายังไม่สาย

ความโกรธก็เป็นสังขารอย่างหนึ่งที่มีความผันผวนปรวนแปรอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแก่นสารแท้จริงอะไรให้เรายึดติด

ท้ายที่สุดในแต่ละช่วงแต่ละขณะของชีวิต หากเราต้องสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดก็น้อมใจให้รู้เท่าทันสิ่งนั้นตามที่มันเป็น รู้เท่าทันถึงอำนาจของสิ่งนั้นว่ามันมีอิทธิพลทำให้จิตใจเราขึ้นลงอย่างไร  หากสิ่งนั้นทำให้เราเกิดความสุขกายเพลิดเพลินใจก็พึงมีหรือครอบครองมันให้เป็น เป็นเจ้าเข้าเจ้าของอย่างไม่ยึดติดจนเป็นทุกข์ อย่าให้มันกัดเจ้าของดังคำท่านอาจารย์พุทธทาสเตือนเสมอ  เราควรน้อมนึกอยู่เสมอว่า เราเป็นเจ้าของสิ่งนั้นก็เพียงชั่วคราว อีกไม่นานเจ้าของที่แท้จริงเขาจะต้องมาทวงคืนอยู่ดี  ดังนั้นหากเราหมั่นฝึกฝนจิตให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดแล้ว ความโกรธเกลียดที่ฝังรากลึกในจิตใจก็จะค่อยจางคลายสลายไปในที่สุด ความโกรธเกลียดที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นได้ยากเช่นกัน


ภาพประกอบ

ปรีดา เรืองวิชาธร

ผู้เขียน: ปรีดา เรืองวิชาธร

สนใจและศึกษาเรื่องการเรียนรู้แนวจิตวิญญาณและกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเป็นกระบวนกรให้กับเสมสิกขาลัยนับแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน