เดินทางไกลเพียงใด วันหนึ่งก็ต้องหยุด
ยิ่งใหญ่ปานใด วันหนึ่งก็ตาย
ความจริงง่ายๆ ที่ใครก็รู้
แต่คนกลับมองข้าม คล้ายว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับตน
ถ้อยความสั้นๆ ของมังกรโบราณ ชรา รำพึงเบาๆ ระหว่างการเดินทางสั้นๆ วันหนึ่ง อันที่จริง มนุษย์มีความจริงง่ายๆ ที่ใครก็รู้อยู่หลายส่วน บางครั้งเราก็เลือกที่จะมองข้าม เลือกที่จะไม่คิดถึงมัน ทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลใด สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเหตุผลทั้งหมดก็คือความกลัว
ความกลัวทำให้เราไม่สามารถเผชิญความจริง ที่เราก็รู้อยู่แล้ว แล้วเราก็พยายามหนี หนีแล้ว หนีอีก มีทางใด ช่องใด เหลี่ยมอับมุมมืดใดที่พอจะทำให้เราหนีได้เราก็จะหนีอยู่เรื่อยไป จนเมื่อถึงวันที่เราจนมุม ไม่มีที่ให้หนีอีกต่อไปแล้ว เมื่อนั้นเราก็เผชิญหน้ากับความจริงเหล่านั้นอย่างเจ็บปวด ทรมาน
ว่ากันว่า อันที่จริงคน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีเขี้ยว ไม่มีเล็บ ไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ใช้เป็นอาวุธ ไว้ต่อสู้หรือป้องกันตัว ไม่มีขนไว้ป้องกันความร้อนความหนาว หรือไม่มีอวัยวะอื่นใดที่สะสมพลังงาน หรือทำอะไรได้ที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ มี แต่ความพิเศษคือคน มีสมองส่วนหน้า คนมีสติปัญญา มากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น
ว่ากันอย่างนั้น คนจึงสร้างสิ่งต่างๆ มากมายไว้เพื่อปกป้องตัวเอง และถ้าว่ากันตรงไปตรงมาอีกมุมหนึ่งนั้นเอง ที่สติปัญญาของเรา ก็กลายเป็นส่วนที่ป้องกันเราออกเสียจากการเติบโต เปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างมีความหมาย
“ทุกคนต้องตาย” ความจริงง่ายๆ ที่ใครก็รู้ แต่คนกลับมองข้าม
ในความเป็นอยู่ของคน ภาวะที่อ่อนแอ เกิดขึ้นจากหลายสภาวะ เช่นเครียด ถูกคุกคาม ความปรารถนา ความหวัง ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดก็คือเวลาป่วย นั่นคือช่วงเวลาที่คนจะอ่อนแอที่สุด ความฝัน ความหวังพังทลายลงไป ยิ่งการเจ็บป่วยหนักหนา อันเป็นสัญญาณบอกว่า เราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่นานนัก นั่นยิ่งทำให้เราอ่อนแอมากขึ้น และหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ
จากเริ่มแรกที่มีความหวังว่า ความป่วยไข้นี้อาจรักษาได้ เราจะเริ่มเคร่งครัดกับการใช้ชีวิต เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย เราเริ่มเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เราเริ่มฟังเสียงที่เกื้อหนุนต่อจิตใจ เราเริ่มถอยห่างจากความคุ้ยชินเดิมๆ ของชีวิตเรารู้สึกตื่นตัวที่จะกลับมาดูแลตัวเอง เราอาจเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ต่อเมื่อนานวันเข้า อาการป่วยแม้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง แต่ความรู้สึกเรากลับเริ่มจมอยู่กับความสิ้นหวัง บ่อยเข้ามากเข้า เราอาจจะยังฟังเสียงที่เกื้อหนุนต่อกำลังใจ เราอาจจะยังบริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เราจะเริ่มรู้สึกว่า หลักของเราค่อยๆ หลุด และลอยออกไป เราอาจเริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง เหงา เราจะเริ่มตะเกียกตะกายหาหลักที่ลอยออกไป หาหลักใหม่ เหมือนลอยคออยู่กลางแม่น้ำ
เมื่อหลักของเราหลุดไปแล้ว เราก็พยายามจะหาที่ยึดเกาะใหม่ เราลอยคอไป เพื่อหา หา แม้กิ่งไม้ชิ้นเล็กๆ ที่ลอยผ่านมา เราก็คว้าเอาไว้ หวังว่ามันจะเป็นที่ยึดเกาะของเราได้ จนแล้วจนรอด เราก็อาจไม่เจอ เรามองออกไปไม่เห็นอะไร นอกจากตัวเอง ในกระแสน้ำ
เมื่อนั้นเอง ที่เราจะเริ่ม หาที่เกาะ ที่เป็นอะไรก็ได้ เราจะเริ่มพาชีวิตกลับมาสู่โหมดของการ ไม่ดูแลตัวเอง เริ่มหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยการเสพย์ อย่างที่เคยเป็นมาเก่าก่อน แน่นอนว่าการเสพย์ช่วยให้เราผ่อนคลาย แต่การเสพย์ใดใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่ได้นำการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีสู่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย
ความอ่อนแอ ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากตัวเอง ดั่งว่า เรามองออกนอกตัวก็เห็นแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า โดยที่บางครั้งเราก็ไม่รู้เลยว่า กลางน้ำที่เราลอยคออยู่นั้นแม้จะหนัก เหนื่อย อ่อนล้า และหวาดหวั่นปานใด หากเพียงแต่เราเหยียดขาลงเราอาจพบว่าที่แท้แล้ว น้ำนั้นไม่ได้ลึกอะไรเลย หรือบางครั้งเราก็อาจเหยียดขาไปเจอโขดหิน ที่ทำให้เรายืนอยู่ได้ อาจจะยังยากลำบากอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หลักสำหรับยึดแต่ประการใด
สำคัญที่สุดสำหรับการเตรียมตัวรับภาวะความอ่อนแอนั้น เราทำได้เพียง สร้างความเข้มแข็ง ความมั่นคงภายใน เพื่อให้เราพร้อมที่จะเผชิญความผันผวนทั้งหลายทั้งปวงในชีวิต ทั้งความอ่อนแอ และความหวาดกลัว และทั้งหมดนี้ ไม่สามารถทำได้ด้วยการหนี ทั้งหมดนี้ไม่สามารถสร้างได้ด้วยการคิดเอา แต่ทั้งหมดนี้สร้างได้ด้วยการเผชิญความจริง แม้เจ็บปวด หวาดกลัว บอบช้ำ และเรียนรู้ ฝึกฝน อย่างเข้มข้น จริงจัง
เขี้ยวเล็บของคน ก็คือสติ ปัญญา หากใช้มันได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะเป็นสิ่งมิชีวิตที่ประเสริฐกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งปวง หาไม่แล้วเราก็จะเป็นเพียงคนป่วยไข้ ที่ไม่มีโอกาสเยียวยา เท่านั้นเอง