ในฤดูพรรษาหน้าอย่างนี้ เรามาคุยเรื่องตายกันไหม?
ชวนอย่างนี้คงหาคนคุยด้วยได้ยาก
แต่ที่ชวนนี้เป็นการคุยเรื่องความตาย เพื่อจะรู้ว่าเราควรอยู่อย่างไร
อย่างที่ธรรมาจารย์ชาวทิเบตท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า คนเราอยู่อย่างไรก็ตายอย่างนั้น
และพระไพศาล วิสาโล ก็กล่าวว่าสังคมจะเปลี่ยนโฉมหน้า ถ้าคนเราตระหนักในเรื่องความตาย–ท่านว่าถ้าคนเรารู้ระลึกอยู่แก่ใจว่าเราอาจจะจากไปตอนไหนก็ได้ ทุกครั้งทุกคนที่ได้พบเจอเราก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด เสมือนว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
ในการแสดงธรรมเทศนา ท่านพุทธทาสภิกขุมักย้ำกับศาสนิกชนเสมอว่า คนเราเมื่อเกิดมาแล้ว…ก็อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบกับพระพุทธศาสนา
ในแง่ที่ว่าให้ได้รู้จักและปฏิบัติธรรมะ กระทั่งรู้แจ้งแก่ใจว่า ไม่มีสิ่งใดที่เราจะยึดถือเอาไว้ได้ แม้แต่ตัวของเราเอง
ได้ยินพระพูดอย่างนี้ก็อาจมีคนยิ้มเยาะเย้ยหยัน สารภาพตามตรงว่าในช่วงวัยหนุ่มที่ยังเร่าร้อนผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งในนั้น กระทั่งคนใกล้ตัวบอกว่า คุณควรเขียนเรื่องท่านพุทธทาสแล้วคุณจะได้รู้จักธรรมะ ผมจึงได้เริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มบางๆ ที่ชื่อ สิบปีในสวนโมกข์ เป็นเล่มแรก และเรื่องต่อๆ มา ได้เรียนรู้ข้อธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งและหลากหลายของท่าน รวมทั้งเรื่องการ “ตายก่อนตาย”
กระทั่งในเรื่อง การเผชิญความตายด้วยใจสงบ ก็เป็นเธอคนเดิมที่ยุยงส่งเสริมว่าผมควรเขียนเรื่องนี้ เผยแพร่ออกไปให้คนในสังคมวงกว้างได้รู้ว่า เรามีทางเลือกสำหรับการวางท่าทีต่อการอยู่และการตาย
ซึ่งหลักใหญ่ใจความของเรื่องการเผชิญความตายด้วยใจสงบ ที่เป็นส่วนงานหนึ่งของ “เครือข่ายพุทธิกา” ในการนำประเด็นนี้ออกสู่ความรับรู้ของผู้คนในสังคม เพื่อเสนอทางเลือกใหม่สำหรับการวางท่าทีต่อเรื่องความตายนั้น มาจากหลักคำสอนและแนวคิดของธรรมาจารย์คนสำคัญของเมืองไทยสองท่านคือ ท่านพุทธทาสภิกขุ และพระไพศาล วิสาโล
ท่านพุทธทาสภิกขุมีหลักคำสอนที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของตน ว่า “ในเวลาจวนเจียนจิตจะดับนี้ อยากกล่าวว่ามันง่ายเหมือนตกกระไดแล้วพลอยโจน ไหนๆ ก็เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จิตหรือเจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกัน”
หรือหากย้อนไปในสมัยพุทธกาล ก็มีพุทธประวัติที่เล่าถึงการ “ไปดี” ของคนในยุคนั้นว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า “อีกไม่นานกายนี้ก็จะนอนทับแผ่นดิน ปราศจากวิญญาณ เหมือนกิ่งไม้ที่ถูกทิ้งแล้ว หาประโยชน์ไม่ได้” พระติสสะพิจารณาตาม เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ พระติสสะก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมกับดับขันธ์ไปในเวลาเดียวกัน
ถ้าระลึกอยู่แก่ใจว่าเราอาจจะจากไปตอนไหนก็ได้ ทุกครั้งทุกคนที่ได้พบเจอ เราก็จะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีที่สุด เสมือนว่านั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน
มาถึงในยุคสมัยของเราทุกวันนี้ หากแม้ไม่ได้ไปไกลถึงขั้นบรรลุธรรม แต่การได้เตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่วาระสุดท้ายที่ดีก็ย่อมทำให้ผู้จากไปได้ไปดี ดังตัวอย่างจากเรื่องเล่าของผู้ที่เคยร่วมอยู่ในสถานการณ์ดังนั้นกล่าวมาโดยตรง
อย่างเรื่องหนึ่งเล่าว่า หญิงคนหนึ่งเสียใจมากที่ไม่เคยบอกสามีว่า เธอรักเขาเพียงใด มาคิดได้ก็เมื่อเขาหมดสติ ไม่ตอบสนองใดๆ แล้ว แต่พยาบาลแนะนำให้เธอพูดทุกอย่างที่อยากพูด เธอจึงใช้เวลาอยู่กับเขาอย่างเงียบๆ แล้วบอกเขาว่า เธอรักเขาอย่างสุดซึ้ง และมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา จากนั้นก็กล่าวคำอำลา “ยากมากเลยที่ฉันจะอยู่โดยไม่มีเธอ แต่ฉันไม่อยากเห็นเธอทุกข์ทรมานอีกต่อไป ฉะนั้นหากเธอจะจากไปก็ไปเถิด” ไม่นานหลังจากนั้นสามีที่ทนทุกข์ทรมานจากเครื่องมือสำหรับการพยาบาลยื้อยุดชีวิตมานาน ก็จากไปอย่างสงบ
พระไพศาล วิสาโล ถึงบอกว่า “การเผชิญหน้ากับความตายเป็นสิ่งจำเป็น การนึกถึงความตายมีประโยชน์ ทำให้เราไม่ประมาท เราควรพร้อมที่จะคุยเรื่องความตาย! เหมือนเป็นสิ่งธรรมดาที่อาจเกิดในชีวิตประจำวัน”
ไม่ประมาททั้งโดยถ้อยคำหรือการกระทำ อย่างตระหนักว่าทุกการพบเจอนั้นเสมือนเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย
“การพบกันครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อาจจะไม่ได้พบกันอีก ถ้าเราระลึกได้เช่นนี้ เราก็จะปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยน ที่ด่ากันทะเลาะกัน แล้วคิดว่าไว้วันหลังค่อยคืนดีกัน มันอาจสายไปก็ได้ เขาอาจจากไปก่อนได้คืนดีกัน แต่ถ้าเราตระหนักว่าเขาจะไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เราก็จะเร่งที่จะคืนดีกัน หรือไม่อยากทะเลาะกันเลย”
ทั้งหลายนี้เป็นการคุยกันถึงความตาย-จุดสุดท้ายของชีวิต เพื่อจะหาความหมายระหว่างทางว่าเราควรอยู่อย่างไร โดยเฉพาะในยามเจ็บ-ป่วย ซึ่งเป็นหลักหมายระหว่างทาง-หลังการเกิด ที่เราเลี่ยงไม่ได้
จะยิ่งใหญ่ยโสโอหังอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องเจ็บต้องตาย กลัวก็ตายกล้าก็ตาย รู้ก็ตายไม่รู้ก็ตาย ทำก็ตายไม่ทำก็ตาย
แต่จะอย่างไร การได้เรียนรู้ก็ดีกว่าไม่รู้-จริงไหม?
นั่นแหละ ถึงจะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และได้พบพระพุทธศาสนา
เกิดในครอบครัวชาวสวนยางจังหวัดกระบี่ ทำงานเขียนสารคดีมา ๒๐ กว่าปี มีผลงานกว่า ๓๐ เล่ม เคยได้รับรางวัลชนะเลิศ "ลูกโลกสีเขียว" (ปี ๒๕๕๑) รางวัลชนะเลิศ "เซเว่นบุ๊ค อวอร์ด" (ปี ๒๕๔๙ และ ๒๕๕๔) ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสาร "สารคดี" โดยยังคงเขียนสารคดีอยู่เป็นประจำ