เยียวยาใจด้วยงานอาสา จากผู้ให้ในโรงพยาบาล สู่ผู้ดูแลในครอบครัว : แมรี่แอน จุลณี บริสุทธิ์ธนกุล

นุดา 7 ตุลาคม 2025

หากใครเคยไปที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี อาจคุ้นหน้าคุ้นตาคุณแมรี่แอน จุลณี บริสุทธิ์ธนกุล เพราะเธอปฏิบัติหน้าที่อาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และเป็นหนึ่งในพี่เลี้ยงช่วยดูแลอาสารุ่นใหม่ๆ เรื่องราวของเธอนั้นไม่ใช่แค่การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล แต่ยังเติมเต็มความสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง และเกื้อกูลผู้คนรอบตัว

คุณแอนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นอาสาว่า ความคิดอยากช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีมาตั้งแต่สมัยอายุ 20 กว่า แต่ติดอยู่กับความไม่กล้าและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร “ย้อนกลับไปสมัยนั้นเราไม่รู้ว่าอย่างนี้เรียกว่าจิตอาสา เช่น เห็นใครเดือดร้อนก็อยากช่วย เห็นคนแก่จะข้ามถนนก็อยากเข้าไปช่วย สังเกตตัวเองว่ามีความรู้สึกแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ถ้าใครเรียกให้ช่วย เราก็พร้อม แต่เราไม่กล้านำเสนอก่อน ไม่รู้จะเริ่มยังไง กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าน่าหมั่นไส้” เธอบอกความรู้สึกที่ค้างอยู่ในใจมานาน

จนกระทั่งลูกสาวได้เริ่มต้นกิจกรรมอาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่สถาบันประสาทวิทยา เพื่อเก็บ Portfolio เข้าคณะที่ใฝ่ฝัน และนำเรื่องราวกลับมาเล่าให้แม่ฟัง “ลูกสาวกลับมาเล่าว่ามีคนวัยเดียวกับแม่ไปเป็นอาสาเยอะเลย เราฟังแล้วได้แต่คิดว่า ในเมื่อคนอื่นทำได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ ก็เก็บเอาไว้ในใจ แต่ยังไม่ได้สมัคร เพราะตอนนั้นเราทำงานประจำอยู่”

และเมื่อชีวิตต้องเผชิญกับวิกฤต ทั้งการถูกเลย์ออฟจากงานที่เคยทำมานาน และการจากไปของคุณแม่ ทำให้เธอรู้สึกว่างเปล่าและฟุ้งซ่าน ลูกสาวจึงแนะนำให้คุณแม่ไปลองทำงานอาสาดูบ้างเพื่อสร้างสังคมใหม่ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณแอนตัดสินใจสมัครเป็นอาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล

งานอาสาที่เยียวยาหัวใจ

คุณแอนเริ่มต้นเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาลราชวิถี และต่อมาได้ย้ายมาทำที่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ซึ่งอยู่ใกล้บ้านมากกว่า การตัดสินใจเป็นอาสาอำนวยความสะดวกผู้ป่วยในโรงพยาบาล นับเป็นการก้าวข้ามเซฟโซนเรื่องหนึ่งในชีวิตของเธอ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องยาก เพียงแค่ต้องก้าวข้ามความกังวลใจเรื่องการเข้าสังคม โดยเฉพาะการเข้าร่วมกิจกรรมปฐมนิเทศในวันแรก ที่ต้องมีการพูดคุยรวมกลุ่ม การเล่นเกม เพราะช่วงนั้นค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยอยากให้ใครรู้จักตัวตนเธอเท่าไหร่ แต่เมื่อผ่านวันนั้นมาได้ เธอบอกว่า “ไม่มีอะไรยากเลย และเฝ้ารอวันที่จะได้ไปทำงานจริงๆ ”

“ตอนนั้นมีคนถามแอนว่ามาทำอาสาเพื่ออะไร แอนก็ตอบว่า…เพื่อหาความสุขให้ตัวเอง เราสูญเสียสิ่งที่เคยมี คือการไปทำงาน การมีสังคม ซึ่งเราเคยคิดว่านั่นคือความสุขมากเลย แต่วันนี้เราไม่มีแล้ว ถ้าไม่นับครอบครัว สามี ลูก ความสุขแอนคืออะไรนะ แต่พอเป็นอาสาวันแรกแอนรู้สึกว่า ใจฟูที่เราได้ทำ ”

หลังจากทำงานอาสาอย่างต่อเนื่อง คุณแอนก็ได้เรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอกอย่างที่เคยเข้าใจ แต่มาจากการกระทำและสิ่งดีๆ ที่เธอได้มอบให้คนอื่น
“มันเป็นความสุขที่มาจากสิ่งที่เราทำออกไป แล้วเราได้รับกลับมา”

สนามฝึกธรรมะในชีวิตประจำวัน

สำหรับคุณแอน งานอาสาในโรงพยาบาลไม่ใช่แค่ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและญาติเท่านั้น แต่คือ การฝึกธรรมะ โดยการยึดหลักความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า ไม่ฟุ้งไปกับสิ่งดีๆ หรือสิ่งที่ทำให้หงุดหงิด เธอบอกว่าวิธีฝึกธรรมะของเธอคือการใช้ สติและความรู้สึกตัว เพื่ออยู่กับปัจจุบันขณะที่ทำงาน

เธอยกตัวอย่างว่า เมื่อมีใครมาชื่นชมก็ไม่หลงระเริง หรือเมื่อเจอผู้ป่วยที่วีนใส่ เธอก็จะใช้คำว่า “ขอโทษนะคะ” และ นิ่ง รับฟัง ซึ่งเป็นบุคลิกที่เธอสังเกตตัวเองว่าสามารถควบคุมได้ดีกว่าเวลาอยู่กับคนในบ้าน และเมื่อกลับมาบ้าน เธอก็นำหลักการปล่อยวางมาใช้ จนลูกสาวทักว่า “แม่ไม่บ่นแล้วนะ” การเป็นอาสาจึงช่วยลดความเป็นเพอร์เฟคชันนิสต์ในตัวเธอลงได้อย่างมาก

คุณแอนยังบอกอีกว่า ทุกวันนี้เธอเฝ้ารอวันที่จะได้ไปทำงานอาสา และมีความสุขกับการที่ได้แต่งตัวให้ดูดี ดูสดชื่น เหมือนเป็น การขอบคุณตัวเอง ด้วยการให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนที่จะออกไปทำหน้าที่ตรงนั้น

“แต่ก่อนความสุขของแอนคือได้เจอเพื่อน ได้กิน เที่ยวเล่น มีเสียงหัวเราะ แต่ตอนนี้เสียงหัวเราะอาจน้อยลงหน่อย แต่มันสุขข้างในโดยไม่ต้องไปบอกใคร เรายิ้มของเราเองข้างใน ทุกวันนี้ก็รอวันไปทำอาสา แอนจะมีวิธีของแอน คือตื่นเช้าหน่อยแล้วมาออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็คิดว่า วันนี้จะใส่เสื้อผ้าอะไร แต่งหน้าแบบไหน เป็นทริคที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่น แอนรู้สึกว่า เราไม่ต้องทำเพื่อคนอื่นตลอด เราทำเพื่อตัวเองบ้างก็ได้ ”

จากผู้ให้ในโรงพยาบาล สู่ผู้ดูแลในครอบครัว

หลังจากทำงานอาสามาได้สักระยะ คุณแอนได้นำทักษะและแนวคิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตจริงและขยายขอบเขต จิตอาสา มาสู่คนในครอบครัว

“พอเราดูแลคนอื่นแล้ว เราก็กลับมามองคนในครอบครัวญาติมิตรมากขึ้นว่าเราได้ดูแลพวกเขาดีพอหรือยัง”

เริ่มจากการช่วยดูแลน้องสาวที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ แม้บ้านของน้องจะอยู่ไกลจากบ้านของคุณแอนมาก แต่เธอก็เดินทางไปหาและอาสาเป็นเพื่อนน้องสาวเวลาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ทั้งยังช่วยดูแลหลานที่มีภาวะสมาธิสั้นจนต้องออกจากโรงเรียนและมาเรียนแบบโฮมสคูล แรกๆ หลานไม่ไว้ใจและไม่พูดคุยด้วย แต่คุณแมรี่แอนได้ใช้ หลักการฟังและความใส่ใจ ที่ได้จากการเป็นอาสาเข้าไปสร้างความสัมพันธ์

“แรกๆ หลานก็อยู่ในสภาพแบบไม่ค่อยออกสู่โลกภายนอกเท่าไหร่ เขาไม่ไว้ใจใคร แม้กระทั่งเราที่เป็นป้า เขาก็ไม่คุ้นเคย ต้องค่อยๆ แทรกเข้าไป เริ่มจากฟังเขาว่ารู้สึกอะไร คิดอะไร แล้วก็ชวนเขาพูดคุย ตั้งคำถามแบบไม่หวังผล คอยเป็นที่ปรึกษา เป็นเพื่อน และชวนเล่นเกม ทำกิจกรรมต่างๆ เรื่องกิจกรรมก็เอามาจากลูกสาว เขาเป็นนักกิจกรรมบำบัด เขาก็มาสอนว่าแม่เอาอันนี้ไปใช้ จนวันนี้คิดว่าประสบความสำเร็จ มีเสียงหัวเราะ เวลาเราไปหลานเขาก็ดีใจ มีเสียงหัวเราะ”

นอกจากนี้เธอยังแบ่งเวลาไปดูแลคุณน้า วัย 88 ปีที่อยู่คนเดียว ด้วยการไปอยู่เป็นเพื่อน ดูละครด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน คอยพูดคุย ห่วงใย ด้วยความอ่อนโยน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความรู้สึกนี้กับคุณแม่ที่จากไปแล้ว

“แม่แอนเป็นคนที่แข็งกระด้าง ไม่เคยสอนให้เรากอด พอเขาเสียไปเราถึงรู้ว่า เรายังไม่ได้แสดงความรู้สึกอ่อนโยนให้เขาเลย ทุกวันนี้แอนเลยแสดงสิ่งนี้กับน้องสาวแม่ที่เป็นน้า และเอามาใช้กับคนไข้ด้วย เวลาเจอผู้สูงอายุที่มาโรงพยาบาล เราจะพูดจาอ่อนหวานกับเขา ซึ่งเมื่อก่อนเราจะไม่เคยพูดเลย เราจะรู้สึกกับตัวเองว่าอ่อนโยนขึ้นในวัยที่อายุมากขึ้น เพราะเราเสียคนในครอบครัวไป เราไม่มีโอกาสได้ทำ เลยรู้สึกอยากทดแทนสิ่งนี้ให้กับคนอื่น”

จากวันแรกที่มาเป็นอาสาอำนวยความสะดวกในโรงพยาบาล และยังคงมาเป็นอาสาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีแล้ว คุณแอนบอกว่านับเป็นช่วงเวลาที่ “คุ้มมากที่สุด”

“ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นกับคนรอบข้างตัวเรา แอนว่าเดินมาถูกทางแล้วค่ะ ความสุขส่วนตัวอาจลดน้อยลงไป แต่ไม่ได้ทำให้แอนทุกข์ อย่างเคยเจอเพื่อนบ่อยๆ เฮฮากัน เพื่อนเห็นเราหายไป ก็สงสัยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เราบอกว่า กำลังทำบุญอยู่ กำลังภาวนาอยู่ แต่ไม่ได้ถึงขั้นตัดสังคมของเราไป แต่จะไม่ได้ขวนขวายเท่าที่ควร บางทีมองว่า ไปต่างจังหวัดกับเพื่อน 2-3 วัน มันไม่ได้สุขจากตรงนั้นมากเท่าไหร่แล้ว”

เพราะเธอได้ความสุขจากการทำงานอาสากลับมาทดแทน และจะทำอาสาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นสนามฝึกใจให้ตัวเอง ในการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าได้ฝึกฝนตน ฝึกฝนใจไว้ เธอก็คิดว่าตัวเองคงพอรับมือไหว

นุดา

ผู้เขียน: นุดา

เกิดและเติบโตที่จังหวัดนครปฐม ชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ตอบตัวเองได้ว่า อยากทำงานเกี่ยวกับการเขียนตอนเรียนมัธยม จึงเลือกเดินในเส้นทางสายนี้ และยึดเป็นอาชีพหลักกว่า 20 ปี แม้รูปแบบของสื่อจะไปเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่เชื่อว่าการเขียนยังเป็นพลังสำคัญในการสื่อสาร