ในสมัยโบราณ การเดินทางผ่านข้ามน้ำข้ามทะเลนั้น นักเดินทางต้องอาศัยแผนที่นำทาง เข็มทิศ รวมถึงดาวเหนือในการตรวจสอบทิศทาง แสงของดาวเหนือแม้เพียงน้อยนิดเป็นประกายเหมือนจุดแต้มสว่างบนท้องฟ้าที่มืดมิด แต่ก็มากเพียงพอที่จะช่วยนำทางให้เรือสำเภาได้อาศัยเป็นเครื่องนำทางฝ่าคลื่นลมและท้องทะเลไปสู่ที่หมายปลายทาง ชีวิตก็เหมือนการเดินทางบนท้องทะเล เราต่างมีแบบแผนกิจวัตรประจำวัน การนัดหมาย เรารู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นและอะไรเกิดขึ้นแล้ว แต่ความมืดมิดของชีวิตที่เปรียบเหมือนท้องฟ้ายามมืดมิดก็คือ เราไม่รู้เลยว่าเหตุใด ชีวิตจึงถูกบีบเค้นด้วยความทุกข์ ด้วยแรงอยากของชีวิตตลอดเวลา เหตุใดจิตใจจึงกระสับกระส่าย จิตใจเราพร้อมเล่นบทนางร้าย โวยวาย กัดกิน ยามที่มันรู้สึกว่ามันไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ในอีกทางจิตใจก็พร้อมเล่นบทนางเอกผู้น่าสงสาร คร่ำครวญ ตัดพ้อ เว้าวอน เพื่อหลอกล่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ หรือทำร้ายตนเองไปเลยหากรู้สึกถึงว่าทุกข์ทรมานนั้นมากเกินทน
ความมืดมิดนี้คือ การไม่รู้ตัวเลยว่าเราเป็นทาสของจิตใจที่เต็มไปด้วยความอยาก จิตใจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ รวมถึงการไม่รู้หนทางด้วยว่าเราจะหลุดจากความเป็นทาสนี้อย่างไร มันเป็นความมืดของท้องฟ้ายามมืดสนิทเหมือนตกหลุมดำที่เรือชีวิตล่องลอยไปโดยไม่รู้เหนือ-ใต้ ลอยไปตามแต่กระแสคลื่นลมจะพาไป เหมือนเรือชีวิตที่ไหลไปตามคลื่นลม ไปตามกระแสสังคมและสัญชาตญาณก่อนที่จะอับปาง
เวลาที่เรามีบาดแผลชีวิตจากความสัมพันธ์ จากความโง่เขลา มีความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ โกรธแค้น ที่ตกค้าง ยาวิเศษที่ช่วยได้ในภาวะเช่นนี้ก็คือ กาลเวลา และเป็นไปได้ว่าบาดแผลนี้ทำให้พวกเราหลายคนต้องระมัดระวังมากขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งต่อไป ด้วยท่าทีต่างๆ กันไป: ระแวง ไม่ไว้ใจ มองโลกแง่ร้าย แก้แค้น ความทุกข์เป็นแรงเฆี่ยนตีให้เราต้องดิ้นรนเพื่อหนีความทุกข์ จัดการกับความทุกข์ บางคนใช้ยาเสพติด เหล้า เพศสัมพันธ์ ชีวิตมันเหมือนตกอยู่ใน “หลุมดำ” มันเหมือนตกอยู่ในวังน้ำวนที่มีแต่ตกลงไปในหลุมดำมากขึ้น และมากขึ้น
จากประสบการณ์ชีวิต สิ่งที่พบได้คือ ชีวิตมิได้เลวร้ายเกินไป เราทุกคนต่างมีดาวเหนือประจำตัว ดาวเหนืออาจปรากฏในรูปของบุคคลที่แวดล้อม คำพูดที่ผ่านเข้ามา ปรากฏการณ์ลึกล้ำที่ได้ประสบ ประสานสัมพันธ์กับดาวเหนือที่อยู่ในตัวเรา แสดงออกในรูปของสติปัญญา คุณงามความดี ความกรุณา ความรักที่มีอยู่ตัว รวมถึงคุณธรรมประจำตัว ความกล้าหาญ ความพากเพียร ฯลฯ แน่นอนว่าบ่อยครั้งหลุมดำในตัวเรา ความเห็นแก่ตัวก็บันดาลเมฆหมอกเข้ามาบดบังดาวเหนือประจำตัว ด้วยความโง่เขลา โทสะ โลภะ โมหะ เราตอบโต้สิ่งรอบตัว เราคิด รู้สึก และกระทำบนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว เป็นหลุมดำที่คอยดูดคุณงามความดีและคุณธรรมไม่ให้ได้แสดงออก
ผู้เขียนมองว่า เหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่ถือเป็นจุดพลิกผันเส้นทางชีวิตของเจ้าชายสิทธัถทะคือ การที่พระองค์ได้พบเหตุการณ์อันสะท้อนความจริงของชีวิต คือ การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย การได้ประจักษ์แจ้งและตระหนักรู้กับความจริงของชีวิตถึงความทุกข์ที่ต้องประสบจากการพลัดพรากสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบใจ การได้ประจักษ์แจ้งความทุกข์เช่นนี้เป็นพลังสำคัญให้พระองค์ตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตใหม่ การได้ประจักษ์พบความจริง ก็คือ การได้พบดาวเหนือที่ส่องแสง และการตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตแสวงหาความจริงของพระองค์ ก็คือ การเดินทางตามแสงของดาวเหนือที่ส่องนำทางมา สำหรับเราทุกคน การได้ประสบเหตุการณ์ทุกข์ยาก เลวร้าย หากเราพิจารณาโดยใคร่ครวญ นั่นอาจเป็นการพบสัญญาณนำทางชีวิตจากดาวเหนือในตัวเราก็ได้ และสำหรับหลายคนที่พบโอกาสอันดี กัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ที่แท้ ก็นับว่ามีเงื่อนไขที่ดียิ่งขึ้นในการมีเครื่องช่วยนำทางเพิ่มขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ความทุกข์เป็นแรงขับให้เราหลีกหนี พร้อมกับที่ความทุกข์ก็เป็นประตูสู่ทางออกจากความทุกข์ด้วย ไม่ผ่านประตูเรียนรู้ความทุกข์ เรากลับไม่พบทางออก แต่เมื่อเรากล้าเผชิญและเรียนรู้ชีวิตจากความทุกข์ เรากลับพบประตูออกจากความทุกข์ได้ หลายคนพบชีวิตใหม่ พบคุณค่าของชีวิตยามที่ประสบกับโรคภัยที่น่ากลัว เช่น มะเร็ง หลายคนพบความรัก ความปรารถนาดี ยามที่สูญเสีย หรือเกือบสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว หลายคนเข้าหาธรรมะ หรือกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ หลายคนเลือกปรับวิถีชีวิตใหม่ ชีวิตที่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นน้อยลง ช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น และที่สำคัญลดความเห็นแก่ตัวลง
การค้นหาและหยั่งรู้ดาวเหนือในตัวเรา รวมถึงการหมั่นเรียนรู้ ตระหนักรู้ และเท่าทันหลุมดำ จึงเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของเรือชีวิตทุกลำ เปรียบเทียบอีกทาง ก็คือ การค้นหาและรู้จักตนเอง เรือชีวิตที่แล่นไปในท้องทะเล หากไม่รู้จักสภาพเรือของตนเอง ไม่รู้จักท้องทะเล คลื่นลม การเดินทางไปภายใต้ความไม่รู้เช่นนี้ ก็คือ การเดินทางสู่หลุมดำ ไม่ต่างกับตัวเรา หากเราไม่เข้าใจตนเอง ไม่ตระหนักรู้ถึงภาวะในตนเอง ความเข้มแข็ง ภูมิรู้ สติปัญญา ทักษะชีวิต บกพร่อง ขาดเกิน ต้องศึกษา เพิ่มพูน ต้องตระหนักรู้ อะไรและอย่างไร การเดินทางภายใต้ความมืดเขลา ก็ยากที่จะจับสัญญาณหรือมองเห็นดาวเหนือที่ช่วยนำทางได้ บ่อยครั้ง ดาวเหนือส่องแสงนำทางตลอดเวลา พวกเราเองต่างหากที่มองไม่เห็น
ไม่ผ่านประตูเรียนรู้ความทุกข์ เรากลับไม่พบทางออก แต่เมื่อกล้าเผชิญและเรียนรู้ชีวิตจากความทุกข์ เรากลับพบประตูออกจากความทุกข์ได้
เราทุกคนสามารถต้อนรับดาวเหนือให้เข้ามาในชีวิตได้เสมอ พร้อมกับแปรเปลี่ยนหลุมดำโดยการให้แสงจากดาวเหนือเข้ามาสอดส่อง เราไม่ต้องทำอะไรกับความมืดมิด เพียงแค่เปิดโอกาสให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามา ความมืดก็หายไปเอง การเปิดโอกาสนี้ก็คือการได้กลับมาทบทวนเรียนรู้ชีวิตและจิตใจ
จิตใจเราเป็นอย่างไร ยามที่ประสบสิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ
เราดำเนินชีวิตอย่างไร ความคิด เหตุผล ความรู้สึก แรงจูงใจของเราในการกระทำ หรือไม่กระทำเนื่องมาจากอะไร
เรามีความรู้ตัวมากน้อยเพียงใด ในขณะหนึ่ง ขณะปัจจุบันของชีวิต
แต่ละขณะของชีวิต แสงจากดาวเหนือสาดแสงตลอดเวลา ด้วยการตระหนักรู้กับทุกขณะของชีวิต