สิ่งที่หยิบติดไม้ติดมือขึ้นมา

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ 4 มกราคม 2015

“คนฉลาด เมื่อหกล้มแล้ว เขาจะลุกขึ้นมา โดยไม่ลืมที่จะหยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วย”

ผมเคยได้ยินคำสอนนี้มาก่อนจากพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต

ตอนแรกผมคิดว่าคำสอนนี้เป็นคำเปรียบเปรย แต่สำหรับวันนี้ที่ผมหกล้ม มันคือคำสอนที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยิ่ง

ที่หัวมุมถนนตรงนั้น ผมเคยขี่จักรยานผ่านมาแล้วอย่างคุ้นเคยเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่สำหรับวันที่ฝนเพิ่งตกปรอยๆ เช่นวันนี้ เพียงแตะเบรคนิดเดียวขณะเลี้ยว รถและตัวผมก็เสียหลัก หกล้มไม่เป็นท่า โชคดีที่ไม่มีใครมาทับและมีคนมาช่วยเหลือ ไม่กี่นาทีนับจากนั้น ผมก็ขี่ออกจากจุดเกิดเหตุได้สบายๆ ทิ้งแผลช้ำไว้เพียงที่โหนกแก้ม หัวเข่า และฝ่ามือ กับอาการเคล็ดขัดยอกนิดหน่อย

ระหว่างทางกลับ ผมนึกถึงคำสอนข้างต้น จึงสำรวจว่าผมได้หยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาบ้าง (นอกเหนือจากฝุ่นถนนและเลือดซิบๆ)

ผมพบมิตรภาพ ในช่วงเวลาแห่งอุบัติเหตุนั้น มักจะมีคนเข้ามาแสดงน้ำใจ พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คนที่ช่วยโบกรถหยุด ช่วยพยุงตัว สำรวจอาการบาดเจ็บ เขาช่วยจูงจักรยานมาสู่ที่ปลอดภัย ช่วยเก็บของที่หล่นกระจายเกลื่อนกราด หาเก้าอี้มาให้นั่งพัก ฯลฯ

โชคดีที่ผมไม่ได้ประสบอุบัติเหตุหนักมาก และไม่ได้มีคู่กรณีให้ต้องเข้าไปเจรจา ผมจึงเห็นผู้ให้ความช่วยเหลือเหล่านี้อย่างชัดเจน เขาคือพ่อค้าแม้ค้าหาบเร่ ปกติแล้วผมคงไม่ได้เข้าไปข้องแวะเท่าไหร่เพราะผมไม่ใช่คนแถวนั้น แต่สำหรับวันนี้เขาคือพระโพธิสัตว์ในสายตาของผม เปิดเผยตัวทำให้ผมประจักษ์ถึงความกรุณาที่ไม่มีเงื่อนไข แววตาของเขาจริงใจและห่วงใยมาก

พ่อค้าขายข้าวแกงยิ้มให้ผม มันมิใช่การยิ้มเยาะหรอกครับ รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ

พ่อค้าขายเสื้อโหลยังมอบเทศนาแก่ผม มันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่กับทุกคนครับ เป็นเรื่องธรรมดาๆ ครับ” ประโยคนี้ช่วยปลอบประโลมใจและให้ข้อคิดแก่ผมมาก คนเราเห็นอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่า อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นกับฉันเข้าสักครั้งหนึ่งเป็นแน่ ความตายอาจมาเยี่ยมเยือนฉันโดยพลันได้เหมือนกัน

อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ “ภูมิปัญญาของร่างกาย” ผมพบว่าจังหวะที่รถกำลังจะล้มนั้น ระบบชีวิตมีวิธีการป้องกันตัวของมันเอง ร่างกายสละรถโดยไม่ต้องใช้สมองสั่งการ มือขาที่กางออกโดยอัตโนมัติ ผมรับรู้ว่ากำลังร้อง “โอ๊ะ” โหนกแก้มจะกระแทกกับพื้นแทนลูกตา มีเสียงดัง “ตึก” แล้วจะกระเด้งขึ้นหน่อยหนึ่ง ผมจำได้ถึงเสียงรถล้ม เสียงข้าวของและแว่นตากระทบพื้นกลิ้งกระจาย เสียงร้องตกใจของคนรอบข้าง

เมื่อหกล้มแล้ว ก็อย่าลืมหยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วย

ทั้งหมดนี้เราเป็นได้แค่ผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ควบคุมเปลี่ยนแปลงอุบัติเหตุที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ทำใจรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเดียว

แผลที่โหนกแก้มและหัวเข่ามีรอยจ้ำสีม่วงแดง เลือดไหลซิบๆ ฝ่ามือมีรอยประทับของหินลูกรังก้อนเล็กๆ ผมสังเกตเห็นอาการชา อาการปวดบวม เหล่านี้เป็นกลไกเยียวยาตัวเองทั้งสิ้น ร่างกายที่สั่นเทิ้มหลังอุบัติเหตุก็เป็นกลไกที่ดี ช่วยหยุดยั้งการเดินทางที่เร็วเกินไป เพราะร่างกายและสติจะยังไม่เข้าที่เข้าทางดีหลังเกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ ผมเพิ่งเข้าใจวลีที่ว่า ร่างกายมีภูมิปัญญาของมันเอง ก็เพิ่งวันนี้นี่ล่ะ

อุบัติในครั้งนี้เอื้อประโยชน์แก่ผมมาก ก่อนจะกลับ ผมกลับไปมองที่จุดเกิดเหตุ มันคือหัวมุมถนนลาดยางที่ถูกชะโลมด้วยน้ำฝนเป็นเงาวับ ชั่วขณะหนึ่งผมหาคนผิด คิดว่าใครหนอช่างสร้างถนนที่อันตรายเช่นนี้ แต่ต่อมาก็ได้สติ ถนนมันก็เป็นเช่นนั้นของมันในวันฝนปรอย เราเองต่างหากที่ควรจะระมัดระวัง ลดความเร็วลง ตั้งสติในการขับขี่ให้มากขึ้น หากเป็นไปได้ก็ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันร่างกายให้ดีกว่านี้

เมื่อทำใจยอมรับอุบัติเหตุได้ ผมก็ยิ้มให้กับหัวมุมถนนที่เปียกลื่นได้ สามารถยิ้มให้กับรอยฟกช้ำบนใบหน้าได้  นี่เป็นทักษะใหม่ที่ผมเพิ่งทำได้

การหกลมในครั้งนี้ สิ่งที่ผมได้หยิบติดมือมาคือมิตรภาพ ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาของร่างกาย และการยิ้มรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

แล้วการหกล้มครั้งต่อไปของคุณล่ะ จะหยิบอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมา?

เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

ผู้เขียน: เอกภพ สิทธิวรรณธนะ

Backstage writer, Urban sketcher