ข่าวสังคมครึกโครมในช่วง ๒-๓ วันที่ผ่านมาคือ การพบศพเด็กทารกและเศษซากเนื่องจากการทำแท้งร่วมกว่า ๒๐๐ ศพในวัดแห่งหนึ่ง ผู้ต้องหาคือสัปเหร่อบอกเล่าว่า มาจากการว่าจ้างของคลีนิครับจ้างทำแท้งประมาณ ๕ แห่งที่ว่าจ้างให้ทำลายซากศพทารก น่าเศร้าสลดที่หลายชีวิตต้องจบลงก่อนเวลาอันควร แต่ละชีวิตมีกรรมเป็นเครื่องผูกพัน พร้อมกับมีเหตุปัจจัย และองค์ประกอบมากมายในการนำพาชีวิตไปสู่จุดหมายปลายทางที่พึงปราถนา ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ชี้ประเด็นสำคัญว่าทุกชีวิตเกิดมาเพื่อ “มีชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ” เจ้าของในความหมายของตัวเราซึ่งมีกายและใจเป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่เจ้าของในความหมายของการถือครอง กล่าวให้ง่ายขึ้นและเป็นรูปธรรมสักหน่อยคือ มีชีวิตที่ “เป็นประโยชน์และสงบเย็น”
แต่การมีชีวิตเพื่อวัตถุประสงค์นี้ นอกเหนือจากมิติชีวิตด้านยาว คือ การมีสุขภาพที่แข็งแรง และยืนยาว ไม่จบชีวิตก่อนวัยอันควรด้วยโรคภัยหรืออุบัติเหตุที่ไม่พึงควร พร้อมกับมิติชีวิตด้านกว้าง คือ ด้านสัมพันธภาพกับคนรอบตัว ชุมชนและสังคม รากฐานชีวิตสำคัญ คือ มิติชีวิตด้านลึก เปรียบได้กับตึกอาคารสูงที่ต้องการรากฐานแข็งแรงมั่นคง ยิ่งหากตึกอาคารนั้นสูงเสียดฟ้าเพียงใด เสาเข็มหรือฐานรากก็ต้องลงลึก หนักแน่น และมั่นคงมากเพียงนั้น แต่สำหรับชีวิตแบบเราๆ ท่านๆ การลงลึกนี้หมายถึงอะไร พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้ให้กุญแจคำตอบสำคัญคือ “ ชีวิตลุ่มลึกได้ก็เพราะมีปัญญาฉันใด จิตใจกว้างขวางได้ก็เพราะมีเมตตาฉันนั้น ปัญญาและเมตตาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่เติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์” เมตตาและปัญญา คือฐานรากของชีวิต ปัญญาในฐานะความรู้ ความเข้าใจในความจริง และธรรมะ และเมตตาในฐานะความรัก ความกรุณาที่มาจากใจ อันเป็นความปรารถนาที่ให้ทุกชีวิตมีความสุข ไม่เบียดเบียนทำร้ายต่อกัน
“ปัญญาและเมตตาเป็นสิ่งสำคัญมากที่เติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์”
ตัวเราในฐานะจุดตั้งต้นของปฏิสัมพันธ์ เรามีตัวเรากับผู้อื่น ผู้อื่นทั้งที่เป็นมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่เราต้องเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์ พร้อมกับเรามีโลกภายในที่เป็นอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดนึก แรงจูงใจต่างๆ อยู่ภายในตัวเรา เท่าๆ กับเรามีโลกภายนอก คือ สิ่งแวดล้อม สภาพธรรมชาติ สังคมเศรษฐกิจ วัฒนธรรมที่เราพึ่งพิงและอาศัยอยู่ หากจัดแบ่งคู่ความสัมพันธ์ก็จะได้ ๔ คู่สัมพันธ์ คือ ๑) ตัวเรากับโลกภายใน ๒) ตัวเรากับโลกภายนอก ๓) ผู้อื่นกับโลกภายใน และ ๔) ผู้อื่นกับโลกภายนอก แต่ละคู่ความสัมพันธ์ คือพื้นที่ชีวิต คือดินแดนความรู้ ความเข้าใจที่นำพาชีวิตไปสู่เป้าหมายชีวิตที่เป็นประโยชน์และสงบเย็นได้ แต่ละดินแดนมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับดินแดนอื่น
เริ่มต้นที่ตัวเรากับโลกภายใน สุข ทุกข์เกิดขึ้นที่ตัวเรากับโลกภายใน เรารับผิดชอบการกระทำของเราเองโดยมีโลกภายใน คือ ความรู้สึกนึกคิดเป็นทั้งแรงผลักดันและตัวรับผลการกระทำ พร้อมกันนี้โลกภายในก็เป็นตัวขับเคลื่อนบุคลิกภาพ ท่าทีชีวิต ณ ดินแดนนี้การบ้านข้อสำคัญคือ การฝึกฝนภาวนาเพื่อพัฒนาคุณภาพของจิต ทั้งการฝึกสติ การฝึกสมาธิ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ ความเท่าทันตนเอง
จากการสัมผัสโลกภายใน ทำให้เราเชื่อมโยงกับคนอื่นได้ว่า โลกภายในของคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร สุขหรือทุกข์อย่างไร จากการที่เรามีโลกภายในเหมือนกัน คือ ปรารถนาความสุข หลีกเลี่ยงความทุกข์ พร้อมกับที่เราสามารถรับคำขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัยและเมตตาผู้อื่นได้จากฐานคิดของโลกภายในด้วยกัน ช่องทางสำคัญในการที่เราจะรับรู้ผู้อื่นและความเป็นไปในโลกภายในของพวกเขา คือ การฟัง การรับรู้ การสังเกต ยามที่เรารับฟัง รับรู้ สังเกต เรากำลังเปิดรับสัญญาณ สื่อ และสาร รวมถึงความหมายของสารและสื่อนั้นให้เข้ามาในตัวเรา เพื่อตีความหมาย ทำความเข้าใจ แน่นอนว่าเราจะสามารถรับรู้และตีความ หรือทำความเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในตัวเราได้ ย่อมหมายถึงความพร้อมในตัวเรา ความพร้อมในการเข้าถึงและทำความเข้าใจ หากระดับของความพัฒนาไม่เท่าเทียม ย่อมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน เหมือนกับคนสองคนที่ต่างประสบการณ์ ต่างชุดความคิด ย่อมยากที่จะเข้าใจซึ่งกันและกันได้
พร้อมกันนี้ ดินแดนของโลกภายนอกที่มีต่อตัวเรา ก็สามารถเป็นภาพสะท้อนให้เราสามารถรับรู้ตัวเราจากมุมมองของโลกภายนอก จากคนอื่น บ่อยครั้งที่ภาพสะท้อนหรือผลกระทบจากโลกภายนอก จากคนอื่น ช่วยให้เราพบความจริงบางอย่างที่เราอาจไม่รู้ตัว หลงลืม ละเลย หรือจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พร้อมกับที่ตัวเราก็สามารถกระทำบางสิ่งที่ส่งอิทธิพลต่อโลกภายนอก ดังเช่นในการรับรู้ของตนเองมองว่า ตนเองเป็นคนมีเมตตา ชอบช่วยเหลือ แต่ในสายตาผู้อื่น ภาพสะท้อนอาจกลับกลายเป็นจุ้นจ้าน ก้าวก่าย จากความเมตตากลับกลายเป็นการเบียดเบียนได้จากการหลงผิด หรือความไม่รู้ตัว ไม่เท่าทันตนเอง
ฐานความรู้ดินแดนสุดท้าย คือ ผู้อื่นกับโลกภายนอก ดินแดนนี้ดูห่างไกลจากตัวเรา แต่ในความจริง ตลอดชีวิตของการศึกษาที่เป็นอยู่มุ่งทุ่มเทความรู้ในเรื่องนี้มาก วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ คือเนื้อหาความรู้สำคัญที่เรามุ่งศึกษาและใช้ทำงานประกอบอาชีพ แน่นอนความรู้นี้ช่วยให้เราอยู่รอดในสังคม แต่ความรู้นี้ไม่มีประโยชน์เลย หากปราศจากความรู้ในดินแดนที่สำคัญคือ การรู้จักตนเองและเข้าใจตนเองผ่านดินแดนความรู้ตัวเรากับโลกภายใน
ชีวิตที่หยั่งรากลึก ต้องอาศัยการบ่มเพาะและหยั่งรากลึก ดินแดนความรู้ทั้งสี่ช่วยให้เราเข้าถึงตนเอง พร้อมกับสานสัมพันธ์ผู้อื่นและโลกรอบตัวด้วยความเมตตาและปัญญา ภารกิจนี้อาจดูหนักหนา แต่รางวัลชีวิตคือ การมีชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ และนั่นหมายถึงการบรรลุภารกิจชีวิตที่ไม่มีเรื่องค้างคา ซึ่งน่ายินดีและเพียงพอแล้วกับชีวิตในโลกใบนี้