รู้ไหมผมเป็นใคร…? คุณระดับไหน ผมระดับไหน รู้ไว้ซะด้วย…? ฯลฯ
ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นคำพูดที่ติดอยู่ริมฝีปากของใครต่อใครอีกหลายคน หรืออย่างน้อยๆ ก็ครุ่นคิดติดอยู่ในใจของคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ความรู้ และการศึกษา เมื่อบุคคลเหล่านี้เผชิญหน้ากับคนที่แสดงออกอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ และเหยียดศักดิ์ศรีของตน เช่น พูดจาลบหลู่ดูหมิ่น จาบจ้วง โอ้อวด วางกล้าม ฯลฯ หรือแม้แสดงอาการเมินเฉย ฯลฯ กับตน ก็จะระเบิดอารมณ์ออกมาทันทีทันใด เพื่อประกาศศักดิ์ดาให้คู่กรณีรู้ว่า ตนก็ไม่ “ธรรมดา” อย่างกะคนอื่นเขา
การประกาศศักดิ์ดาโดยฟาดงวงฟาดงาใส่คู่กรณีของคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นนั้น เป็นที่สังเกตกันหรือไม่ว่า ถ้าสัมฤทธิ์ผลตามที่ตนกระทำลงไป คือฝ่ายตรงข้ามไม่โต้ตอบใดๆ และยอมจำนนให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ก็มักจะเกิดความลำพองใจ กระหยิ่มใจ มองคนอื่นไม่ได้เรื่องไปเสียหมด และอาจจะตามจิกหัวคู่กรณีต่อไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าผลเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือคู่กรณีโต้ตอบกลับมาในทำนองว่า “คุณเป็นใคร…ใหญ่มาจากไหนก็ช่างฉันไม่สน..!” อารมณ์โกรธของตนก็จะเดือดพล่านทันที และมีการตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งทั้งในทางตรงและทางอ้อม เพื่อจะสั่งสอนหรือประกาศศักดิ์ดาให้คู่กรณีรู้ว่า ตนไม่ธรรมดาและเหนือกว่าคู่กรณีเป็นไหนๆ แต่ถ้าเจอคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ง่ายๆ ก็อาจจะต้องมานั่งชอกช้ำใจเครียดแค้นไปอีกหลายวันกว่าจะหาย
การประกาศศักดิ์ดาของคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นนั้น เชื่อแน่ว่าหลายท่านคงประสบพบเจอมาบ้างไม่มากก็น้อย กล่าวคือ ถ้าตนไม่ฟาดงวงฟาดงาใส่คนอื่นเขา ก็อาจจะเจอเข้ากับตัวเราเองก็ได้ หรือไม่ก็ไปเห็นคนอื่นฟาดงวงฟาดงาใส่คู่กรณีต่อหน้าต่อตา หรือได้ยินมาจากคนรอบข้างที่ไปสร้างวีรกรรมแล้วมาเล่าให้ฟังก็ได้ แต่อย่างไรเสีย ไม่ว่าเราจะเจอเข้ากับตัวเองหรือตัวเองฟาดงวงฟาดงาใส่คนอื่นเขา หรือไปเห็นคนอื่นฟาดงวงฟาดงาใส่คู่กรณีต่อหน้าต่อตา หรือไปได้ยินมาจากคนรอบข้างก็ตามที เป็นที่สังเกตกันหรือไม่ว่า ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในสถานที่ของรัฐและเอกชนแทบทุกหนทุกแห่งเลยก็ว่าได้ นอกนั้นก็จะมีให้เห็นกันประปราย ทั้งในแวดวงธุรกิจการค้ามาจนถึงข้างถนน
ที่เป็นเช่นนั่น เข้าใจว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากโครงสร้างและวัฒนธรรมในหน่วยงานนั้นๆ ที่ส่งเสริมการใช้อำนาจบาตรใหญ่ให้กับบุคลากรทั้งในทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับความบกพร่องทางด้านจิตใจ ก็เลยต้องหาอะไรมาเติมให้ตัวเอง ด้วยการแสดงออกอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้คนอื่นยอมรับตนบ้าง เพื่อระบายความคับข้องหมองใจไปสู่คนอื่นบ้าง ยิ่งอยู่ในฐานะที่จะให้คุณให้โทษกับใครต่อใครได้ (เว้นไว้ก็แต่มีผลประโยชน์บังหน้า) ก็ยิ่งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนไม่ธรรมดามากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตาสีตาสา พูดได้ว่ากลายเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ ของคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นไปเลยก็ได้
โดยนัยนี้หลายต่อหลายท่านที่เข้าไปทำธุระ ณ หน่วยงานเหล่านี้ ถ้าดวงไม่ดี ก็อาจจะเจอบุคลากรบางคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นวางกล้ามเข้าใส่ หรือแสดงอากัปกิริยาอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้รู้สึกว่าตนเหนือกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ จนบางท่านที่เข้าไปทำธุระทนไม่ได้ ต้องฟาดงวงฟาดงาเข้าใส่ก็มี และบุคคลที่ทำเช่นนี้ได้นั้น ส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นเขาอีกเช่นกัน แต่ถ้าเป็นตาสีตาสา แม้ดูเสมือนหนึ่งว่าจะก้มหน้ายอมรับสภาพการณ์นั้นไปโดยไม่มีการตอบโต้ใดๆ ซึ่งๆ หน้า แต่ทว่าประสบการณ์อันเลวร้ายที่ตาสีตาสาได้รับมาแต่ละครั้ง ก็จะกระจายไปสู่ชุมชนทันที ด้วยวิธีการนินทาหรือว่าบ่นให้เพื่อนบ้านฟัง จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง นานๆ ไปถ้ายังไม่รีบแก้ไข ชาวบ้านก็อาจจะพากันลุกฮือขับไล่ก็เป็นได้
ยิ่งอยู่ในฐานะที่จะให้คุณให้โทษได้ ก็ยิ่งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตน ‘ไม่ธรรมดา’ มากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่นที่กล่าวมานี้ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเท่านั้น บุคคลทั่วไปที่รู้สึกว่าตนเองมีความรู้ มีการศึกษา หรือว่ามีอะไรต่อมิอะไรที่พอจะให้ยึดถือหรือกล่าวอ้างได้ ก็มักจะรู้สึกว่าตนเป็นคนพิเศษอีกเช่นกัน เมื่อไปเผชิญหน้ากับบุคลากรของรัฐและเอกชนที่หนึ่งที่ใด หรือไปเผชิญหน้ากับใครต่อใครในที่ต่างๆ ก็มักจะวางกล้าม หรือแสดงออกอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้คู่กรณีรู้ว่าตนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน จนบางครั้งก็ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปก็มี และบางทีก็ถึงกับเอาชีวิตเข้าเดิมพัน กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ฟังแล้วสลดใจ ไม่น่าเชื่อว่าการจอดรถขวางหน้าบ้าน เดินขวางทาง หรือเหยียบเท้ากันโดยไม่ตั้งใจ ฯลฯ จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีทางแก้ไขหรือยับยั้งมันได้
โดยเฉพาะในขณะเลือดขึ้นหน้า นอกจากไร้สติสัมปชัญญะแล้ว ความคิดจิตใจในเวลานั้น ก็จะพุ่งและมุ่งตอบโต้คู่กรณีให้สมใจและสะใจแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า ที่ฟาดงวงฟาดงาใส่คนอื่นนั้นเพราะอะไร ในเวลานั้นตนรู้สึกอย่างไร ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง หัวใจเต้นแรงและถี่ไหม ผลจากการฟาดงวงฟาดงาเป็นอย่างไรบ้าง…? ซึ่งแน่นอน…! บางคนก็อาจจะบอกว่าได้ผล บางคนก็อาจจะบอกว่าไม่ได้ผล ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคู่กรณีย่ำแย่ลงไปอีก และอาจจะมีผลต่อไปในระยะยาวได้ แต่อย่างไรเสีย ไม่ว่าเราจะฟาดงวงฟาดงาเสียเอง หรือจะโดนคนอื่นฟาดงวงฟาดงาเข้าใส่ คนที่รับผลกรรมมากกว่าใครๆ เห็นทีจะหนีตัวเองไปไม่ได้ คือนอกจากไม่สำเร็จประโยชน์ตนและคนอื่นแล้ว ยังทำให้ตัวเองเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิตไปโดยใช่เหตุอีกด้วย
ดังนั้น ถ้าไม่ต้องการเผชิญหน้ากับคนที่รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกว่าคนอื่น ให้เสียสุขภาพกายสุขภาพจิต เสียงาน และเสียความสัมพันธ์อันดีต่อกันและกัน ไปจนกระทั่งเสียชีวิตแล้ว การเป็นคน “ธรรมดา” ก็น่าจะดีกว่าการเป็นคน “ไม่ธรรมดา” ก็เป็นได้ เวลาคบหากับใครหรือไปติดต่อเรื่องอะไรกับใครที่ไหน ก็ไม่ต้องแบกเกียรติและศักดิ์ศรีของตนและวงศ์ตระกูล แบกความร่ำรวย แบกความรู้และการศึกษา หรือว่าแบกยศถาบรรดาศักดิ์ไปด้วย ก็อาจจะช่วยให้สบายใจขึ้นมาก็เป็นได้