ย้อนหลังไปเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ หลังจากการค้นพบรังสีเอ็กซ์ อีเล็กตรอน กัมมันตภาพรังสี ซึ่งเปิดพรมแดนแห่งความรู้เกี่ยวกับอะตอมอย่างไม่เคยมีมาก่อน นักฟิสิกส์จำนวนมากมั่นใจว่าไม่มีเรื่องใหญ่ๆ ให้ค้นพบอีกต่อไปแล้ว ในปี ค.ศ. ๑๘๙๙ อัลเบิร์ต ไมเคิลสัน นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ถึงกับประกาศว่า “กฎพื้นฐานและข้อเท็จจริงของวิทยาศาสตร์กายภาพที่สำคัญๆ ได้ถูกค้นพบหมดสิ้นแล้ว ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันอย่างมั่นคงจนกล่าวได้ว่าโอกาสที่มันจะถูกแทนที่ด้วยการค้นพบใหม่ๆ มีน้อยมากๆ” นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนในเวลานั้นเชื่อว่า แม้ยังมีปัญหามากมายที่ยังไม่พบคำตอบ แต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สามารถท้าทายความรู้ทางฟิสิกส์ที่มีอยู่ในเวลานั้นได้เลย
แต่ความเชื่อมั่นดังกล่าวได้มลายไปเมื่อไอน์สไตน์ได้เปิดเผยทฤษฎีสัมพัทธภาพ และ มักซ์ พลังค์ ประกาศทฤษฎีควอนตัมซึ่งต่อยอดโดย นีลส์ บอหร์ การค้นพบดังกล่าวรวมทั้งความก้าวหน้าที่ตามมาอีกมากมายทำให้ฟิสิกส์แบบเก่าถึงแก่กาลอวสาน และเป็นจุดเริ่มต้นของฟิสิกส์แบบใหม่ ขณะเดียวกันก็ได้ก่อให้เกิดคำถามใหม่ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย ตั้งแต่ระดับอะตอมไปจนถึงเอกภพ (หรือพหุภพ?) ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไขได้ไม่หมด กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้มันจะขยายพรมแดนแห่งความรู้ให้กว้างขึ้น แต่ก็ทำให้เห็นว่าพรมแดนแห่งความไม่รู้ของมนุษย์นั้นใหญ่โตมโหฬารกว่าที่คิดมาก
หลังจากการค้นพบยาปฏิชีวนะและวัคซีนนานาชนิด โรคติดเชื้อซึ่งเคยคร่าชีวิตมนุษย์ผู้คนนับล้านได้ถูกกำราบจนบางชนิดถึงกับสูญพันธุ์ ในปี ๑๙๕๔ ที.พี.แมกิล แพทย์อเมริกันได้ประกาศกลางที่ประชุมประจำปีของสมาคมนักวิทยาศาสตร์ภูมิคุ้มกันอเมริกันว่า “เรามีความยินดีที่สามารถหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิงจากความคิดเรื่องวิญญาณอันชั่วร้าย เราภูมิใจที่จะอวดอ้างถึงความรู้ของเราเกี่ยวกับเชื้อโรค เรามั่นใจว่าความหลุดพ้นและความรู้ดังกล่าวจะช่วยให้เราสามารถกำจัดโรคติดเชื้อได้อย่างสิ้นเชิง”
คำพูดดังกล่าวสะท้อนความมั่นใจของแพทย์จำนวนไม่น้อยเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้วว่า อวสานของโรคติดเชื้อกำลังจะมาถึง อีกไม่นานจะไม่มีใครตายเพราะโรคดังกล่าวอีกต่อไป แต่มาถึงวันนี้ไม่มีนักวิทยาศาสตร์การแพทย์คนใดกล้าพูดเช่นนี้อีกแล้ว เพราะนอกจากผู้คนจำนวนมากมายยังคงล้มตายด้วยเชื้อโรคใหม่ๆ ที่ไม่มีทางรักษา เช่น เอดส์ และอีโบล่า แล้ว โรคเก่าๆ ที่เคยฝ่อลงก็กลับมาระบาดใหม่แถมดื้อยาเสียด้วย เช่น วัณโรค มาลาเรีย ขณะที่ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่เวลานี้ก็ทำอะไรไม่ได้เลยกับแบคทีเรียชนิดใหม่ (super bug) ที่กำลังคร่าชีวิตผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วโลก
ในปี ๑๙๖๘ ปีเตอร์ เบอร์เกอร์ นักสังคมวิทยาชื่อก้องโลก ได้ทำนายว่า “เมื่อถึงศตวรรษที่ ๒๑ มีแนวโน้มว่าพวกที่เชื่อในศาสนาจะพบเห็นได้ตามลัทธินิกายเล็กๆ ซึ่งกระจุกอยู่ด้วยกันเพื่อต่อต้านวัฒนธรรมแบบโลกย์ๆ ที่แพร่ไปทั่วโลก” ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับ แอนโทนี วัลเลซ นักมานุษยวิทยาศาสนา ซึ่งประกาศอย่างมั่นใจว่า “อนาคตของศาสนากำลังวิวัฒน์สู่ความดับสูญ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และอำนาจเหนือธรรมชาติที่ฝืนกับกฎธรรมชาติจะเสื่อมถอย และกลายเป็นเพียงความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้น……ความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติมีแต่จะสาบสูญไปทั่วโลก อันเป็นผลจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายและพอเหมาะพอสมมากขึ้นทุกที…กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
แต่มาถึงวันนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ศาสนานอกจากจะไม่มีแนวโน้มสาบสูญหรือแม้แต่จะเสื่อมถอยแล้ว กลับมีบทบาทอย่างมากในโลกปัจจุบันโดยเฉพาะในทางการเมือง บางประเทศถึงกับถูกปกครองด้วยแนวทางศาสนา อย่างอิหร่าน หรืออัฟกานิสถานในสมัยหนึ่ง ขณะที่ในบางประเทศกลุ่มศาสนามีพลังมากพอที่จะตัดสินผลการเลือกตั้งผู้นำประเทศได้ เช่น สหรัฐอเมริกา ไม่จำต้องพูดถึงการก่อการร้ายอันมีศาสนาเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งสร้างผลสะเทือนไปทั่วทั้งโลกมานานกว่าสองทศวรรษแล้ว
การคาดการณ์อนาคตนั้นย่อมมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ เพราะอนาคตนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความผิดพลาดทั้งสามกรณีมีสาเหตุสำคัญมาจากความมั่นใจในความรู้ของตนมากเกินไป เมื่อเชื่อมั่นว่าตนเองรู้เห็นความจริงได้อย่างถี่ถ้วนและทั่วถึง จึงสามารถ “ฟันธง” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ โดยไม่ตระหนักเลยว่าความจริงนั้นมีความซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าที่ตนเข้าใจมาก เมื่อกาลเวลาผ่านไปและความจริงคลี่คลายออกมามากขึ้น กลับกลายเป็นว่า การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความรู้อันจำกัดของผู้พยากรณ์ยิ่งกว่าอะไรอื่น มาถึงวันนี้คงไม่มีใครคิดว่าครั้งหนึ่งนักวิชาการชั้นนำจะหาญกล้าพยากรณ์เช่นนั้น
ทั้งสามกรณีชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญรู้มานั้นนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความไม่รู้ของตน ผู้รู้ที่แท้จริงจะตระหนักเสมอว่าความรู้ที่ตนมีนั้นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวของความจริงที่มีพรมแดนกว้างขวางมาก แม้ความรู้ที่ตนมีจะมากมาย แต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมายหลายเท่าตัว ดังนั้นจึงมีความถ่อมตนและเปิดใจเรียนรู้อยู่เสมอ นอกจากจะไม่พยากรณ์อนาคตด้วยความมั่นอกมั่นใจแล้ว ยังไม่ด่วนสรุปว่าสิ่งที่ตนรู้เท่านั้นที่จริง สิ่งที่คนอื่นรับรู้มาแม้จะต่างจากตน ก็อาจจะจริงด้วยเช่นกัน
ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคสารสนเทศ ใครๆ ก็เข้าถึงความรู้และข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ดังนั้นจึงง่ายที่ใครต่อใครจะเข้าใจว่าตนเองรู้มาก จนลืมไปว่าความรู้ของคนเรานั้นถึงอย่างไรก็มีน้อยกว่าความไม่รู้เสมอ หากเราตระหนักถึงความข้อนี้ จะฟังคนอื่นมากขึ้น ไม่ด่วนปฏิเสธข้อมูลหรือความเห็นของคนอื่นที่ต่างจากตนว่าผิด ไม่ถูกต้อง
ผู้รู้ที่แท้จริงจะตระหนักเสมอว่า ยังมีสิ่งที่ตนไม่รู้อีกมากมายหลายเท่าตัว
เป็นเพราะมนุษย์มีความรับรู้ที่จำกัด พระพุทธเจ้าองค์จึงทรงแนะนำให้เรามีท่าทีที่เรียกว่า “สัจจานุรักษ์” กล่าวคือ เมื่อเชื่อหรือรับรู้อะไรมา ก็ไม่ควรปักใจว่า ความจริงต้องเป็นอย่างที่ตนเชื่อหรือรับรู้มาเท่านั้น ดังมีพุทธพจน์ว่า “บุรุษผู้เป็นวิญญู เมื่อจะคุ้มครองสัจจะ ไม่ควรลงความเห็นในเรื่องนั้นเด็ดขาดลงไปอย่างเดียวว่า ‘อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเหลวไหล’”
สาเหตุที่ผู้คนมีความขัดแย้งกันมากมายทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะมั่นใจในความถูกต้องของตน จนกลายเป็นการผูกขาดความจริงไป ใครที่คิดต่างจากตน ก็ด่วนสรุปทันทีว่า เหลวไหล โง่เขลา จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันได้ง่าย หากเพียงแต่ผู้คนตระหนักว่าสิ่งที่ตนไม่รู้นั้นยังมีอีกมากแม้ในเรื่องที่ตนศึกษามาก็ตาม ความเห็นต่างนอกจากจะไม่นำมาซึ่งการวิวาทบาดหมางแล้ว ยังอาจเพิ่มพูนสติปัญญาและขยายพรมแดนแห่งความรู้ของตนให้กว้างขวางขึ้นอีกด้วย
แม้นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เราจึงควรเผื่อใจไว้เสมอว่าสิ่งที่เรารู้หรือเชื่ออาจผิดได้