หนังกลางแปลงในจิต เป็นงานวัดในใจเรา

สุวีโร ภิกขุ 30 มีนาคม 2008

เวลาพูดถึงงานวัดเรานึกถึงอะไร? เด็กๆ คงคิดถึงชิงช้าสวรรค์ ได้ยิงเป้าตุ๊กตากับการละเล่นที่นำความสนุกมาให้ ผู้ใหญ่ส่วนมากอาจคิดถึงอาหารประเภทปิ้งย่างเลิศรสต่างๆ กับการพบปะสังสรรค์ผู้คน ส่วนคนหนุ่มสาวคงอยากไปรำวง เต้นรำ จับจ่ายซื้อของ ท่องเที่ยวสำราญใจไปกับคนที่ต้องตาถูกใจ  ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีความสนใจไปต่างๆ กัน สุดแล้วแต่ผู้จัดงานจะสรรหาเอามาบำรุงบำเรอทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเรา  ส่วนใหญ่เราไปงานวัดกันไม่ใช่แค่ไปทำบุญทำกุศลเท่านั้น หากแต่เราไปโดยมีจุดมุ่งหมายอื่นเพิ่มขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว และอาจกลายเป็นความคุ้นเคยจนเคยชินต่อการเสพรสชาติของสิ่งที่เขาจัดขึ้นมาให้เรา (ผู้ไปเที่ยวงาน) ชอบใจพอใจเป็นของแลกเปลี่ยนอยู่เสมอ แต่ว่าบางคนก็อาจจะคาดหวังต่อประเด็นการเสพนี้เป็นเรื่องหลัก มิเช่นนั้นจะไปทำไมกันให้เมื่อย

เมื่อระลึกย้อนกลับไปสู่วัยเด็ก ภาพประทับใจต่องานวัดบ่อยครั้งกลายเป็นผ้าใบสีขาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขอบสีน้ำเงินขนาดใหญ่ยักษ์ ขึงโครงเหล็กกางจังโก้สำหรับฉายภาพยนตร์ที่เราเรียกกันว่า “หนังกลางแปลง” ซึ่งบนจอผ้าใบต้านลมกลางแจ้งนั้นมีภาพเคลื่อนไหวกำลังโลดแล่นผ่านสายตาคนดูชาวบ้านที่แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ราวกับอยู่บ้าน ในชุดนอน ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น สวมเสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าถุงผ้าขาวม้า ปะแป้งพอกหน้าขาววอกนั่งยิ้มหรือหัวเราะไปกับบทสนทนาที่คุณลุงนักพากย์กำลังให้เสียงแทนตัวนักแสดงคนนั้นทีคนนี้ที

ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนจากหมู่บ้านทั้งในพื้นที่ และชุมชนชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ภายใต้บรรยากาศของการเล่น การจับจ่ายซื้อของ และการกินอันอบอวลไปด้วยเขม่าควันและกลิ่นหอมโชยฟุ้งของอาหารประเภททอดปิ้งย่าง อีกทั้งยังมีขนมน้ำตาลปั้นตุ๊กตุ่นตุ๊กตา โรตีสายไหมและขนมไทยขนมเทศหลากสีสันนานาชนิด ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าต่างก็เฮโลกันมาชุมนุมในพื้นที่แออัดยัดเยียดโดยมิได้นัดหมาย  อันที่จริงแล้ว องค์ประกอบที่มิได้สลักสำคัญอะไรเลย แต่คละเคล้าปนกันอย่างมากมายนี้นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า “แบบนี้ไง ถึงเรียกว่างานวัด” อาจเป็นเพราะว่า วัดคือศูนย์กลางที่รวมเอาวัตถุสิ่งของ อาหารการกิน ตลอดจนผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาชุมนุมกันเพื่อร่วมงานบุญโดยไม่แบ่งแยกอายุ ฐานะ ชนชั้น อาชีพ และแม้กระทั่งถิ่นที่อยู่

ด้วยเหตุนี้เอง ชาวบ้านร้านตลาดทั่วๆ ไปจึงรู้สึกได้ถึงความง่ายความสบายอกสบายใจท่ามกลางผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง บางคนรู้สึกอิ่มเอมใจ ตื่นตาตื่นใจ กระตือรือร้น มีอิสระภาพและเป็นตัวของตัวเองซะจนสามารถปูเสื่อปูกระดาษหนังสือพิมพ์ นั่งดูนอนดูหรือนั่งทับรองเท้าแตะดูหนังได้ทั้งหน้าจอและหลังจอผ้าใบบนลานดินตามสบาย ตรงไหนก็ได้  จะอยู่เที่ยวเล่นในสวนสนุก เล่นเครื่องเล่นอย่างชิงช้าสวรรค์ ยิงเป้า สาวน้อยตกน้ำ ก็ไม่มีปัญหาถ้ามีเงินจ่าย  หรือว่าจะดูหนังตั้งแต่ย่ำค่ำไปจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืนก็ได้โดยไม่ถูกแม่ตีหากจะกลับบ้านดึก เพราะมีญาติผู้ใหญ่ (ที่พ่อแม่ไว้ใจ) อาสาพามาเที่ยวและส่งกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยในที่สุด ทั้งนี้และทั้งนั้นหากเป็นเพื่อนรุ่นพี่นักเที่ยวซอกแซกพาไป มีหวังได้ถูกไม้เรียวหวดเป็นแน่ แม้ว่าจะแอบไปงานวัดในตอนกลางวันก็ตาม

ส่วนใหญ่เราไปงานวัดกันไม่ใช่แค่ไปทำบุญทำกุศลเท่านั้น แต่เราไปโดยมีจุดมุ่งหมายอื่นเพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

สิ่งดึงดูดใจมากมายในงานวัด ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีอาจทำให้เราหลงเพลิดเพลินเสียจนลืมเนื้อลืมตัว ซึ่งหลายๆ ครั้งความสุขสนุกสนานเหล่านั้นมักจะจบลงด้วยเศษขยะกองพะเนิน หรือกลายเป็นสิ่งของที่ถูกทิ้งขว้างกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยเฉพาะกระดาษหนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก เศษแก้วแตก ขวดแก้ว แก้วกระดาษและไม้เสียบลูกชิ้น  บางครั้งบางคราวอาจพบเสื่อเก่าคร่ำคร่าถูกลืมทิ้งไว้หลังจากผู้ชมหนังกลางแปลงอำลาค่ำคืนแยกย้ายจากกันไปอย่างชุลมุน เพราะรีบเร่งกลับบ้านหาที่หลับที่นอน

มโหรสพส่งท้ายในงาน อย่างการฉายหนังยาวบนจอผ้าใบในลานกว้างที่มีผู้ชมแน่นขนัดนั้น สำหรับคนในเมืองหลวงแล้ว มันคือโอกาสที่เอื้อให้เราได้กลับมาสานสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างกัน ด้วยการดูหนังรอบดึกกับคนที่เรารักและคนที่รักเราซึ่งไม่ชอบไปดูหนังโรง  ในอีกทางหนึ่งการดูหนังกลางแปลงยามค่ำคืน สำหรับคนต่างจังหวัดหรือชาวบ้านพลัดถิ่นแล้วมันเป็นช่วงเวลาแห่งความมีชีวิตชีวา และรู้สึกเป็นสุขราวกับได้กลับคืนไปยังหมู่บ้านและชุมชนของตัวแต่เก่าก่อน

ทุกวันนี้ การจัดฉายหนังกลางแปลงกลายเป็นฟันเฟืองจักรกลสำคัญชิ้นหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้แล้วสำหรับงานวัดในทุกๆ ที่  เสียงที่เราได้ยินจากคุณลุงนักพากย์หนัง กับตัวละครที่กำลังเคลื่อนไหวบนจอผ้าใบกลางแจ้ง เป็นเสมือนตัวแทนนักเดินทางที่พกพาบางสิ่งจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิต ผู้คน ชุมชนและสังคมผ่านการดูหนังและการฟังเสียงพากย์แบบสดๆ  การดูภาพยนตร์เสียงในฟิล์มเดี๋ยวนี้เราสามารถหาดูได้ไม่ยากนัก จะดูในโรงหนัง ดูจากเครื่องเล่นแผ่นวีซีดีหรือดีวีดีก็ได้ แต่ถ้าจะให้รู้สึกถึงบรรยากาศของงานรื่นเริงแล้วไซร้ หนังกลางแปลงในงานวัดนี่แหละเป็นธรรมชาติอันครื้นเครงภายใต้ฟ้าเดียวกันจริงๆ

หนังจอผ้าใบหรือภาพยนตร์ที่เรากำลังดูกันอยู่ทุกวันนี้ ทำขึ้นมาได้ด้วยการเคลื่อนไหวภาพอย่างรวดเร็ว กระทั่งสามารถลวงตาเรา (ผู้ดู) ได้ และส่งผลต่อการมองเห็นจนทำให้เราเชื่อจริงๆ เลยว่าสิ่งที่อยู่ในภาพกำลังเคลื่อนไหวในช่วงเวลาขณะนั้น โดยแต่ละภาพที่เรียงต่อกันจะมีจังหวะของการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย และจะเลื่อนไหลมาสู่ความทรงจำด้วยการมองเห็นผ่านสายตาเราอย่างต่อเนื่อง  อาการเวลาเห็นภาพเคลื่อนไหวเป็นจังหวะเช่นนี้ถูกเรียกว่า “ปรากฏการณ์ของความสืบเนื่องทางสายตา (Persistent vision of Phenomenon)” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ปรากฏการณ์ภาพติดตา” เนื่องจากภาพนิ่งแต่ละภาพจะคงอยู่ในจินตนาการของเราได้นานถึง ๑ มิลลิวินาทีหลังจากการมองเห็น

ดังนั้นหากสังเกตธรรมชาติในตัวเราให้ดีจะพบว่า ธรรมชาติของการมองเห็นในตัวเรากำลังลวงหลอกสายตาเราเช่นกัน  การดูหนังกลางแปลงที่แท้จริงจึงมิได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งข้างนอกตัวเลย ตัวหนังหรือภาพยนตร์เคลื่อนไหวที่เราได้ดูได้ฟังกันนั้น มีภาพการเคลื่อนไหวกับเสียงนักพากย์ประจำตัวพกติดมาอยู่กับเราภายในใจแล้ว เป็นหนังยาวบ้างสั้นบ้างตามแต่เราจะอำนวยการสร้างขึ้นมาโดยความคิดและพฤติกรรมตามความเคยชินของตัวเราเอง  ความสุขสนุกสนานมีชีวิตชีวาก็เปรียบได้กับการไปเที่ยวเล่นกินดื่มในงานวัด ความทุกข์เศร้าเหงาหงอยเปล่าดายคือเศษของทิ้งแล้วที่เหลืออยู่เมื่องานสิ้นสุดลง

แต่ในชีวิตคนเราจะเลือกเอาเฉพาะส่วนที่ดีโดยทิ้งส่วนที่ไม่ดีไม่เอา คงไม่ได้  อาการแห่งความสุขกับอาการแห่งความทุกข์เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่มีขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว คล้ายกับภาพนิ่งที่ติดตาเรา ต่อมาจึงประทับอยู่ในใจชั่วขณะหนึ่งแล้วจากไป หรือเป็นภาพจริงกลับข้างกันเหมือนเช่นที่อยู่บนจอหนังกลางแปลงด้านหน้าและด้านหลัง นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่าทีการดูของเราเอง  ไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นเช่นไร มันจะต้องจบลงในไม่ช้า เมื่อเสียงพากย์ยุติลง จอสีขาวขอบน้ำเงินว่างเปล่าจากการให้ความหมายตามภาพที่ผู้ดูเห็น เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างจักหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เฉกเช่น เป็นงานวัดในใจเรา


ภาพประกอบ