ช่วงนี้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผู้คนพูดถึงกันมาก ไม่ใช่หนังดังหรือหนังที่จะเรียกคนเข้ามาชมเท่าไหร่ แต่ว่ามันให้ข้อคิดที่ดี หลายคนบอกว่าดูแล้วอึ้ง อาตมายังไม่ได้ดูนะหนังเรื่องนี้ เพราะว่ามันยังอยู่ในโรงหนัง หนังเรื่องนี้ชื่อว่า Plan 75 ซึ่ง Plan หมายถึงแผนหรือโครงการ 75 หมายถึงอายุ มันเป็นโครงการของรัฐบาลในประเทศญี่ปุ่น อันนี้เป็นเรื่องจินตนาการ ไม่ใช่เรื่องจริง

เป็นโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ต้องการแก้ปัญหาผู้สูงอายุ แล้วก็เปิดรับเฉพาะคนที่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป คือคนแก่นั่นแหละ แก้ปัญหาผู้สูงอายุอย่างไร แก้ปัญหาด้วยการที่เปิดรับคนที่ไม่อยากจะอยู่แล้ว คนแก่ที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป โครงการนี้จะเปิดโอกาสให้เลือกวันตายได้

แล้วเขาก็มีวิธีทำให้ตายอย่างไม่ทุกข์ทรมาน ก่อนตายเขาจะให้เงิน 100,000 เยนประมาณ 25,000 หรือ 30,000 บาท เอาไปใช้จ่ายตามสบาย จะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายด้วยเงินก้อนนี้ แล้วก็เลือกวันตาย ตายแล้วเขาจะมีการทำจัดการศพให้เรียบร้อย ฟังดูมันก็น่ากลัวเหมือนกัน แต่ว่ามันยังเป็นแค่เรื่องจินตนาการ

แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังแนวคิดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จินตนาการ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว คือเวลานี้รัฐบาลหลายประเทศเลย เขาต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพื่อเป็นสวัสดิการให้กับคนแก่

สมัยที่คนแก่มีจำนวนน้อย คนหนุ่มสาวมีจำนวนมาก ก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะว่าคนหนุ่มสาวก็จ่ายภาษีเป็นสวัสดิการคนแก่ แต่เดี๋ยวนี้คนแก่เพิ่มมากขึ้นๆ อย่างในญี่ปุ่นประชากรที่สูงวัยเกือบ 1 ใน 4 หรือ 1 ใน 5 ของประเทศ เรียกว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลคนแก่สูงมาก แล้วภาษีที่ได้จากคนหนุ่มสาวก็น้อยลงไปเรื่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ

หลายประเทศมีปัญหาว่า จะเอาเงินที่ไหนมาดูแลคนแก่ ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า มีโครงการแบบนี้ดีกว่า Plan 75 จะได้ลดภาระเศรษฐกิจของรัฐบาล จ่ายแค่หัวละแสน จะไม่มีปัญหาในเรื่องการเอางบประมาณนี้มาดูแลคนแก่ ที่จริงความคิดนี้ดูเหมือนกับว่าไม่น่าสนใจ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ เดี๋ยวนี้มีคนคิดแบบนี้เยอะ

ในหนังเรื่องนี้ก็จะมีพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 78 เคยเป็นพนักงานทำความสะอาด แต่ว่าถูกเลิกจ้าง อายุ 78 แล้วยังต้องทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง พอถูกเลิกจ้างแล้ว แถมไม่มีที่อยู่ บ้านเช่าก็ถูกยกเลิก ประกอบกับตัวเองอยู่ตามลำพัง สามีก็ตายแล้ว ลูกก็ไม่รู้อยู่ไหนมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่า แล้วก็คิดว่าอยู่ต่อไปก็ลำบาก เลยสมัครเข้าร่วมโครงการนี้

หนังก็เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนี้ แล้วเขาก็ไปเจอใครต่อใครมากมาย ซึ่งทำให้เรื่องราวหรือปัญหาคนแก่ ค่อยๆ ถูกเปิดเผยมาทีละนิดๆ คนดูก็อึ้ง เพราะว่าทำให้เห็นปัญหาคนแก่ แล้วก็ความรู้สึกของคนแก่ ที่ตัวเองอาจจะยังไม่ได้คิดมาก่อน เพราะว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังสนุกสนาน ยังลั้นลาอยู่กับชีวิต

elderly woman

หนังเรื่องนี้สะท้อนความจริงว่า สังคมสมัยนี้อยู่ยาก หลายคนมักจะพูดว่า อยู่ยากๆ สำหรับคนแก่นี่ มันเป็นสังคมที่อยู่ยาก ทั้งๆ ที่ชีวิตก็มีความสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ต้องเดินกระย่องกระแย่ง มีรถไม่ใช่แค่รถเมล์ บางทีรถส่วนตัว บางทีก็รถไฟฟ้า จะซักผ้าก็มีเครื่องซักผ้า ไม่ต้องเหนื่อย อยากใช้น้ำก็เปิดก๊อกเอา ไม่ต้องไปหิ้ว ไม่ต้องไปหาบน้ำจากบ่อ

ดูแล้วคนแก่สมัยนี้ สุขสบายกว่าคนสมัยก่อน แต่ที่จริงไม่ถึงกับสุขสบาย ต้องเรียกว่าสะดวกสบายมากกว่า ไม่สุขหรอก เพราะว่าสังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่จะเรียกว่า ไม่ค่อยเชิดชูคนแก่เท่าไหร่ คนแก่ก็จะรู้สึกว่าความสัมพันธ์เหินห่าง เพราะว่าลูกหลานก็ไม่มี หรือมีก็แยกไป อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ ชุมชนที่เคยทำความอบอุ่น มีมิตร ก็หายไปหมด

นอกจากความสัมพันธ์จะเหินห่าง จนรู้สึกเหงาแล้ว ค่านิยมในสังคมก็ค่อนข้างจะไม่ส่งเสริมคนแก่เท่าไหร่ สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่เชิดชูความหนุ่มสาว คนเลยไม่อยากแก่ ใครแก่จะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก่อนนี่เรียกใครว่าป้าเรียกใครว่าลุง เขายินดี แต่เดี๋ยวนี้ไปเรียกใครว่าป้า เรียกใครว่ายาย เขามองหน้าเลย เพราะอะไร เพราะเป็นสังคมที่ไม่ส่งเสริม ไม่สนับสนุน ไม่เชิดชูคนแก่

เดี๋ยวนี้คนแก่ก็พูดไม่ได้ ต้องใช้คำว่าสูงวัย หรือ สว. เรารังเกียจความแก่ เดี๋ยวนี้ตามร้านจะมีเครื่องประทินโฉม ที่ทำให้ลบรอยความแก่ ผมหงอกเหรอไม่ดีนะ ต้องย้อมผมให้มันดำ ผิวแห้งผิวเหี่ยว ก็มีน้ำยาทาผิวให้ดูเปล่งปลั่ง บางทีก็ไปผ่าตัดเพื่อเสริมทรง ลบรอยเหี่ยวย่นตีนกา อันนี้สะท้อนถึงสังคมที่รังเกียจคนแก่ เพราะว่าไม่หนุ่มไม่สาว

แล้วอีกอย่างหนึ่ง คนแก่เดี๋ยวนี้ไม่มีโอกาสที่จะสนุกสนาน เพราะว่าไม่มีกำลังวังชา สังคมทุกวันนี้เชิดชูความสนุกสนาน ฉะนั้นต้องหนุ่มต้องสาวถึงจะได้เสพสุขเต็มที่ พอแก่แล้วก็เสพสุขไม่ค่อยได้ แล้วก็สังคมนี้ยังเชิดชูความสำเร็จ ยศศักดิ์อัครฐาน คนแก่นี่ไม่ค่อยมีสิ่งนี้แล้ว เพราะเกษียณบ้างละ หรือเพราะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง

อันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเราเชิดชูคนแก่ คนแก่แม้ว่าจะร่างกายจะถดถอย กำลังวังชาจะถดถอย แต่ว่าจิตใจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น เช่นคนยกย่องคนแก่ เรียกปู่เรียกตาเรียกยายเรียกลุงเรียกป้า หลายคนรู้สึกว่าได้รับความเคารพ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็มีลูกหลานห้อมล้อม รู้สึกอบอุ่น ใครมีปัญหาชีวิตก็มาปรึกษาจากคนแก่ เพราะมีประสบการณ์มากกว่า

แต่เดี๋ยวนี้มันตรงกันข้ามเลย คนแก่ถูกมองว่า งกๆ เงิ่นๆ ไม่มีความรู้ ตามไม่ทันโลก ฉะนั้นใครเป็นคนแก่ก็เลยรู้สึกแย่ มิหนำซ้ำเขายังต้องเจอความเจ็บความป่วย ต้องทำมาหาเงินเลี้ยงตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ร่างกายอย่างเดียว จิตใจก็แย่ถอยไปด้วย

สังคมทุกวันนี้เป็นสังคมที่เรียกว่า ไม่ค่อยเชิดชูคนแก่เท่าไหร่ คนแก่ก็จะรู้สึกว่าความสัมพันธ์เหินห่าง เพราะว่าลูกหลานก็ไม่มี หรือมีก็แยกไป อยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ ชุมชนที่เคยทำความอบอุ่น มีมิตร ก็หายไปหมด

ที่จริงแล้วถึงแม้เป็นคนแก่ในยุคนี้ ไม่ต้องมีความทุกข์ก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะว่าถึงแม้ร่างกายกำลังวังชาลดน้อยถอยลง แต่ว่าจิตใจสามารถจะยกระดับให้สูงขึ้นได้ เริ่มต้นจากการที่เรายอมรับความแก่ ไม่รังเกียจความแก่ แล้วก็เห็นว่าถึงแม้เราจะมีกำลังวังชาน้อย แต่เรามีคุณค่ามากเรื่องประสบการณ์ชีวิต

ประสบการณ์ชีวิตนี่มีคุณค่ามาก เพราะว่าถ้าเราพิจารณาให้ดี มันช่วยทำให้เราเข้าใจโลกได้ดีขึ้น เข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น เจอทุกข์มากระทบ ใจก็ไม่กระเทือน เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา เพราะว่ารู้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป รวมทั้งสามารถเข้าถึงความสุขที่ลึกซึ้ง คือความสุขทางใจ

ประสบการณ์ชีวิตสอนว่า ความสุขจากความเป็นหนุ่มเป็นสาว จากเงินทอง จากการเสพ นี่มันของชั่วคราว ความสุขทางใจสำคัญกว่า แล้วประสบการณ์ชีวิตก็เอื้อให้สามารถจะเข้าถึงความสุขเช่นนี้ได้

อันนี้คือสิ่งที่คนแก่ในยุคนี้ควรให้ความสำคัญ ถึงแม้ว่าลูกหลานเขาจะเหินห่างไป แต่ว่าถ้าเรารู้จักเอาประสบการณ์ชีวิตนี้มาเตือนใจ แล้วก็มาหล่อเลี้ยงจิตใจของตัวเอง ก็มีความสุขได้ โดยเฉพาะถ้าหากว่าสนใจธรรมะ

ธรรมะทำให้อยู่กับตัวเองได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องพึ่งพาใครก็ได้ ไม่ต้องรอคอยให้คนมาดูแลเอาใจใส่ ถ้ามีก็ดี แต่ถึงไม่มีก็ไม่ทุกข์ เพราะว่าอยู่กับความรู้สึกตัว พบกับความสุข ความสงบในจิตใจ

อันนี้คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก ตอนที่เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ไม่ค่อยตื่นตัวเรื่องนี้ เพลินกับความสุข พอแก่เข้าก็กลายเป็นทุกข์ไป เพราะว่าสนุกสนานไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ลืมเตรียมตัว ลืมเตรียมใจ

แต่ถ้าเตรียมใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ก็ทำให้พอถึงเวลากลายเป็นคนแก่ ใครจะเรียกป้าเรียกลุง ก็ยิ้ม ขอบคุณ อยู่คนเดียวก็อยู่ได้ เพราะว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง หนังเรื่องนี้มันเตือนใจ ให้เรานอกจากเข้าใจคนแก่แล้ว ก็ยังต้องเตรียมตัว เพื่อที่จะรับมือกับความเป็นคนแก่ในอนาคตด้วย.


พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต แสดงธรรมก่อนฉันเช้าวันที่ 29 กันยายน 2565

zen sukato บันทึกเสียง

waew ถอดเสียง nok edit

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา