ครอบครัว ชุมชน และวัด เป็นสถาบันทางศีลธรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อจิตสำนึกและพฤติกรรมของคนไทยในอดีต แต่สำหรับคนสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่อยู่ในเมือง สถาบันเหล่านี้มีอิทธิพลค่อนข้างน้อย หากไม่เป็นเพราะความอ่อนแอของสถาบันเหล่านี้ ก็มักเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่เหินห่างระหว่างคนเมืองกับสถาบันดังกล่าว นอกจากนั้น วิถีชีวิตในเมืองนั้นยังทำให้ผู้คนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น สามารถมีชีวิตอย่างเป็นอิสระ โดยไร้ความผูกพันหรือของเกี่ยวกับใครก็ยังได้ ความเป็นอิสระนี้ทำให้สามารถมีพฤติกรรมอย่างเสรีตามใจปรารถนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อย่างไรก็ตาม การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและระบบความสัมพันธ์ที่กำลังถูกครอบงำอย่างหนักด้วยวัฒนธรรมบริโภคนิยมและอำนาจนิยมนั้น ปัจเจกชนย่อมยากที่จะประคองรักษาตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมได้ แม้จะมีพื้นฐานที่ดีจากการกล่อมเกลาในครอบครัวและโรงเรียนก็ตาม เสรีภาพของปัจเจกชนในสภาพดังกล่าวมักถูกใช้ไปเพื่อคล้อยตามบริโภคนิยมและอำนาจนิยมไม่มากก็น้อย ในสภาพเช่นนี้นอกจากปัจเจกชนจะต้องมีภูมิคุ้มกันทางใจที่เข้มแข็งแล้ว ยังควรมี “ชุมชนทางศีลธรรม” ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายใน ควบคู่กับการปกป้องจากแรงกดดันจากภายนอกที่เป็นในทางบริโภคนิยมและอำนาจนิยม
ชุมชนทางศีลธรรมในสังคมเมืองนั้น อาจเป็นชุมชนโดยพื้นที่ ซึ่งหมายถึงการมาอยู่ร่วมกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แต่ชุมชนแบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะทำได้ยาก อีกทั้งยังไม่ชอบที่จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา เพราะต้องการรักษาปัจเจกภาพของตนไว้ในระดับหนึ่ง ชุมชนทางศีลธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนเมืองจึงได้แก่ ชุมชนโดยกิจกรรม ชุมชนทางศีลธรรมชนิดนี้ รูปแบบหนึ่งที่น่าจะเหมาะก็คือ องค์กรอาสาสมัคร หรือองค์กรประชาสังคม (civic group)
องค์กรประชาสังคม มีหลายลักษณะ อาจเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีสมาชิกไม่ถึงสิบคน ไปจนถึงองค์กรประเภทเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกนับพันนับหมื่น อาจเป็นองค์กรที่ผู้คนมาร่วมกิจกรรมกันเป็นครั้งคราว หรือทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรประเภทนี้ยังสามารถพัฒนาจนเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงครอบครัว ชุมชน วัด โรงเรียน รวมทั้งสื่อมวลชน ให้กลายเป็นขบวนการหรือชุมชนทางศีลธรรมขนาดใหญ่ที่สามารถมีอิทธิพลต่อสังคมบริโภคนิยมและอำนาจนิยมได้
ท่ามกลางวัฒนธรรมบริโภคนิยมและอำนาจนิยม เป็นเรื่องยากที่ปัจเจกชนจะประคองตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมได้ แม้จะมีพื้นฐานที่ดีจากครอบครัวและโรงเรียนก็ตาม
ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่เครือข่ายขององค์กรฉือจี้ในไต้หวัน ฉือจี้เป็นมูลนิธิทางด้านมนุษยธรรมที่มีศูนย์ย่อยกระจายทั่วเกาะไต้หวัน มีอาสาสมัครที่ทำงานอย่างแข็งขันกว่า ๒๐,๐๐๐ คน กิจกรรมของเครือข่ายซึ่งครอบคลุมทั้งด้านสังคมสงเคราะห์ การแพทย์ การศึกษา รวมทั้งการผลิตสื่อ ได้เข้าถึงผู้คนนับล้านๆ ในไต้หวัน อีกทั้งยังขยายสาขาและสำนักงานไปกว่า ๓๐ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
แกนกลางหรือชั้นในสุดของเครือข่ายนี้คือคณะภิกษุณีจำนวน ๖๐ รูป ซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันที่วัดแห่งหนึ่งในไต้หวัน มีบทบาทในทางเป็นแบบอย่างแห่งการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและการอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเยี่ยงพระโพธิสัตว์ ส่วนที่อยู่ถัดออกมา ก็คือสมาชิกของมูลนิธิฉือจี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ ระดับแรกได้แก่สมาชิกเต็มขั้นที่ผ่านการอบรมและเป็นที่ประจักษ์ถึงความเสียสละและความมุ่งมั่นในการทำสาธารณประโยชน์ ระดับที่สองได้แก่สมาชิกขั้นอบรม ซึ่งต้องทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า ๒ ปี จึงจะเลื่อนไปเป็นสมาชิกเต็มขั้นได้ ระดับที่สามได้แก่สมาชิกขั้นฝึกงาน ซึ่งต้องทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า ๑ ปีจึงจะเลื่อนไปเป็นสมาชิกขั้นอบรมได้ งานอาสาสมัครที่สมาชิกทำเป็นประจำได้แก่ เยี่ยมบ้านคนป่วยอนาถา เป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลของมูลนิธิ ช่วยเก็บแยกขยะในชุมชน รวมทั้งการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยในยามฉุกเฉิน สมาชิกเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ ๒๐,๐๐๐ คนจะอยู่ประจำตามศูนย์ต่างๆ ของมูลนิธิที่กระจายอยู่ทั่วเกาะไต้หวัน
ถัดจากชั้นของสมาชิกมูลนิธิ ก็คือผู้สนับสนุนมูลนิธิ รวมทั้งผู้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเป็นประจำ บุคคลเหล่านี้จะสัมพันธ์กับมูลนิธิโดยผ่านสมาชิกมูลนิธิ กล่าวคือสมาชิกหรืออาสาสมัครมูลนิธิจะเป็นผู้ไปรับเงินบริจาคหรือบอกบุญจากผู้สนับสนุนด้วยตนเอง นอกจากจะเป็นการฝึกสมาชิกให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่แนวความคิดและกิจกรรมของมูลนิธิให้ผู้บริจาครับทราบ เป็นการตอกย้ำสำนึกแห่งการเสียสละเพื่อผู้อื่น การไปบอกบุญและรับบริจาคด้วยตนเองถึงบ้าน ยังมีส่วนช่วยให้ครอบครัวของผู้บริจาคกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย ทำให้แนวร่วมขยายไปยังคนทุกเพศทุกวัย
ชั้นนอกสุดของเครือข่ายก็คือประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากกิจกรรมด้านต่างๆ ของมูลนิธิ เช่น ผู้ที่ไปรับการเยียวยารักษาจากโรงพยาบาลของมูลนิธิ ผู้ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนของมูลนิธิ รวมทั้งผู้ได้รับการช่วยเหลือจากงานสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิ ปัจจุบันมูลนิธิมีโรงพยาบาล ๕ แห่ง มีสถาบันการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา รวมทั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ โดยเน้นคุณธรรมควบคู่กับความรู้ นอกจากนั้นมูลนิธิยังมีสถานีโทรทัศน์ของตนเอง ที่ถ่ายทอดรายการเพื่อความรู้และคุณธรรมตลอด ๒๔ ชั่วโมง สถานีโทรทัศน์และสื่ออีกหลายชนิดทำให้เครือข่ายของมูลนิธิขยายไปถึงคนทั่วไปแม้จะไม่ใช่สมาชิกหรือผู้บริจาค
จะเห็นได้ว่าเครือข่ายขององค์กรฉือจี้ สามารถผสานสถาบันต่างๆ ที่มีบทบาททางศีลธรรมในทุกระดับ ให้เข้ามาเป็นพลังทางศีลธรรมของสังคม เริ่มตั้งแต่ ๑) วัดหรือองค์กรสงฆ์ ซึ่งสามารถปรับตัวจากการเป็นศูนย์กลางของชุมชน (ชนบท) มาเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย (ในเมือง) ๒) ครอบครัว ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านสมาชิกมูลนิธิที่ไปขอรับบริจาค และจากสถาบันการศึกษาของมูลนิธิ ๓) ชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านศูนย์อาสาสมัครที่กระจายทั่วประเทศ ๔) โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลไกส่วนหนึ่งของเครือข่ายโดยตรง เช่นเดียวกับ ๕) สื่อมวลชน การผสานทั้ง ๕ ส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดพลังทางศีลธรรมในสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พลังดังกล่าวจะลดลงไปมากหากปราศจากกิจกรรมด้านสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งขององค์กรฉือจี้
ควรย้ำในที่นี้ว่าองค์กรฉือจี้ แม้จะเป็นองค์กรศาสนา แต่ไม่ได้จำกัดบทบาทเพียงแค่การเทศนาสั่งสอนศีลธรรมผ่านวัด โรงเรียน และสื่อมวลชนเท่านั้น หากยังลงไปทำงานช่วยเหลือสังคมด้วยการสงเคราะห์ทางมนุษยธรรม เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ประสบภัย รวมทั้งการเก็บและแยกขยะ ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นงาน “ทางโลก” แต่ก็แยกไม่ออกจากงาน “ทางธรรม” เพราะนอกจากจะเกิดจากแรงบันดาลใจในทางศีลธรรม โดยมีภิกษุณีเป็นแบบอย่างแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังเป็น “สื่อ” สอนธรรมให้แก่สังคมวงกว้าง ในเรื่องความเสียสละ เมตตากรุณาและความไม่เห็นแก่ตัว ชนิดที่ประจักษ์ได้ด้วยตาและใจ มิใช่ด้วยหูหรือด้วยความคิดเท่านั้น (โดยเฉพาะโรงพยาบาลของฉือจี้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคล้วนๆ ได้รับการยกย่องมากในเรื่องการแพทย์ที่เปี่ยมด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์) ใช่หรือไม่ว่าคุณธรรมเหล่านี้เป็นพลังทางศีลธรรมที่สังคมสมัยใหม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง
สังคมไทยอาจไม่จำเป็นต้องมี (หรือไม่สามารถมี) เครือข่ายแบบฉือจี้ แต่ก็ควรสนับสนุนให้มีองค์กรประชาสังคมให้มากๆ เพื่อเป็นชุมชนศีลธรรมห้อมล้อมปัจเจกชนในเมือง อันจะช่วยให้แต่ละคนมีพลังทางใจที่จะทวนกระแสบริโภคนิยมและอำนาจนิยมอันเชี่ยวกราก อีกทั้งมีปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยต้านทานหรือลดความเชี่ยวแรงของกระแสดังกล่าวได้