เมื่อเดือนที่แล้วมีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก ข่าวนั้นก็คือ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งในสหรัฐอเมริกาได้บทสรุปตรงกันอย่างมิได้นัดหมายว่า ชาวพุทธมีความสุขและความสงบใจมากกว่าคนกลุ่มอื่น ข้อสรุปดังกล่าวมิได้มาจากการทำแบบสอบถามอย่างที่มักนิยมทำกันในเวลานี้ แต่เกิดจากการตรวจสอบหรือวัดการทำงานของสมอง นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหมู่คนถือพุทธนั้น สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกที่ดีๆ จะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากกว่าสมองของคนกลุ่มอื่น ซึ่งก็หมายความว่าความสุขและความรู้สึกนึกคิดในทางบวกจะเกิดขึ้นกับคนถือพุทธมากกว่า นอกจากนั้นเขายังพบอีกว่า ชาวพุทธมีแนวโน้มจะตื่นตระหนก ตกใจ หรือโกรธน้อยกว่าคนกลุ่มอื่น
ฟังแล้วคนไทยอย่าเพิ่งปลื้ม เพราะชาวพุทธที่เขานำมาตรวจวัดสมองนี้เป็นชาวพุทธในอเมริกา และเป็นผู้ที่ชอบทำสมาธิภาวนา บทสรุปจริงๆ ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ๒ แห่งนี้ก็คือ สมาธิภาวนานั้นช่วยให้ใจสงบ ระงับความโกรธ และควบคุมความกลัวได้ อานิสงส์ดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาทำสมาธิเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะเลิกทำสมาธิแล้ว
ข้อสรุปย่อหน้าหลังนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนไทยหรืออย่างน้อยผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมเขารู้มานานแล้ว แต่ดูเหมือนว่านี้จะเป็นครั้งแรกๆ ที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างสมาธิภาวนากับการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก แถมยังไปไกลถึงขั้นสรุปว่าชาวพุทธมีความสุขและใจสงบยิ่งกว่าคนกลุ่มอื่น
ถ้าถือว่านั่นเป็นข่าวดี ข่าวร้ายก็คือเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อน มีข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแพร่ไปทั่วโลก ข่าวนี้ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับข่าวแรก และโยงมาถึงเมืองไทยโดยตรง นั่นคือข่าวที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นโรคเครียดกันมากขึ้น ที่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มีไม่น้อย หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ซึ่งรายง่านข่าวนี้อ้างคำพูดของจิตแพทย์ผู้หนึ่งในโรงพยาบาลสงฆ์ซึ่งระบุว่า พระสงฆ์ไทยจำนวนมากรู้สึกว้าวุ่นสับสนและอ้างว้างจนเกิดปัญหาทางจิตใจ คุณหมอท่านนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่าพระสงฆ์ซึ่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ ร้อยละ ๕๐ สูบบุหรี่จัดมาก
คงไม่มีข่าวใดที่จะตัดกันมากเท่านี้อีกแล้ว ในดินแดนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศบริโภคนิยมสุดๆ ชาวพุทธที่นั่น (ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยเป็นฆราวาส) เป็นผู้ที่มีความสุขมากกว่าใครๆ ขณะที่ในประเทศซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นเมืองพุทธ พระสงฆ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสงบ กลับมีความเครียดและปัญหาจิตใจกันมากขึ้น แม้จะไม่มีการทำสถิติพระสงฆ์ไทยที่มีปัญหาทางจิต แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าพระสงฆ์ไทยเป็นกลุ่มคนที่มีอัตราการสูบบูหรี่สูงที่สุดกลุ่มหนึ่งในประเทศไทย ก็เป็นตัวชี้วัดระดับความเครียดของพระสงฆ์ไทยได้ไม่น้อย อีกทั้งข้อสังเกตของคุณหมอที่โรงพยาบาลสงฆ์เกี่ยวกับการสูบบุหรี่ของพระที่ป่วยเป็นโรคเครียดก็น่าเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ดีได้
พระสงฆ์ไทยจำนวนมากรู้สึกว้าวุ่นสับสนและอ้างว้างจนเกิดปัญหาทางจิตใจ
อ่านข่าวทั้งสองแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับวงการพระสงฆ์ไทย? วิถีบรรพชิตน่าจะเป็นวิถีแห่งความสงบ แต่เหตุใดพระสงฆ์ไทยจึงมีปัญหาทางจิตใจกันมากขึ้น? คุณหมอแห่งโรงพยาบาลสงฆ์ตั้งข้อสังเกตว่า การเมืองในวัดและความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์ที่แบ่งเป็นกลุ่มๆ หรือตามภูมิลำเนา เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง
ข้อสังเกตนี้สามารถโยงไปถึงปัญหาการปกครองสงฆ์ ไม่เฉพาะในระดับวัดเท่านั้น หากสัมพันธ์ไปถึงระดับประเทศ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปกครองสงฆ์ทุกวันนี้มิได้ใช้อำนาจเป็นหลัก เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นในวงการสงฆ์ ไม่ว่าระดับใดก็ตาม วิธีที่นิยมใช้กันก็คือการออกกฎหรือคำสั่ง (ดังกฎมหาเถรสมาคมฉบับล่าสุด ซึ่งว่ากันว่ามีขึ้นเพื่อห้ามพระเที่ยวห้างหรือใช้โทรศัพท์มือถือ) แต่นั่นยังไม่ร้ายเท่ากับปัญหาที่ว่าการใช้อำนาจนับวันจะอิงคุณธรรมน้อยลงเรื่อยๆ กลายเป็นการใช้อำนาจแบบอัตตาธิปไตย คือเอาความเห็นหรือผลประโยชน์ของผู้ปกครองเป็นหลัก
ผลประโยชน์และเส้นสายได้มามีอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์ยิ่งกว่าหลักคุณธรรม ทำให้วงการสงฆ์เต็มไปด้วยการแก่งแย่งผลประโยชน์ (ตั้งแต่เงินค่าสวด ไปจนถึงรายได้จากการขายวัตถุมงคลและเงินก่อสร้างโบสถ์) ยิ่งผลประโยชน์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครองด้วยแล้ว วัดและคณะสงฆ์จึงกลายเป็นวงการที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและขับเคี่ยวในทางสมณศักดิ์และตำแหน่งปกครอง ไม่เว้นแม้แต่ระดับเจ้าอาวาส
การปรับปรุงการปกครองสงฆ์เพื่อให้คุณธรรมมาเป็นหลักยิ่งกว่าผลประโยชน์ เป็นเรื่องสำคัญ การทำให้คณะสงฆ์รวมศูนย์อำนาจน้อยลง กระจายอำนาจมากขึ้น และปกครองในรูปกลุ่มบุคคลแทนที่จะอิงตัวบุคคล เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดระบบเส้นสาย และทำให้การปกครองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประการต่อมาคือทำให้คณะสงฆ์มีความโปร่งใสมากขึ้นทั้งในด้านการบริหารและการเงิน ตั้งแต่ระดับวัดขึ้นไป
แต่ทำแค่นั้นหาพอไม่ สิ่งสำคัญที่ละเลยไม่ได้คือการปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ การละเลยสมาธิภาวนา เน้นแต่ด้านปริยัติ เป็นจุดอ่อนสำคัญของการศึกษาสงฆ์ตลอด ๘๐ ปีที่ผ่านมา การที่สมาธิภาวนาขาดหายไปจากชีวิตของพระสงฆ์ ทำให้ท่านขาดความสุขประณีตที่จะมาหล่อเลี้ยงชีวิตพรหมจรรย์ และดังนั้นจึงเข้าหาความสุขทางวัตถุมากขึ้น หมกมุ่นในลาภสักการะ และถลำสู่วังวนแห่งการแก่งแย่งผลประโยชน์ รวมถึงการวิ่งเต้นในทางสมณศักดิ์ จนไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของญาติโยม
การศึกษาที่เน้นปริยัติ หากสอนให้ผู้เรียนรู้จักคิดและสามารถนำธรรมะมาใช้กับชีวิตและสังคมได้ ก็ยังไม่นับว่าสูญเปล่า เพราะผู้เรียนสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง แต่การศึกษาของสงฆ์ในปัจจุบันเป็นปริยัติศึกษาแบบท่องจำล้วนๆ แถมเนื้อหายังล้าสมัย ห่างไกลจากชีวิตและสังคมสมัยใหม่ จึงไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจใฝ่รู้ เรียนอย่างแกนๆ เพียงเพื่อให้จบ การศึกษาแบบนี้สร้างความทุกข์แก่พระเณรเป็นอันมาก มีใครทราบบ้างว่าว่าพระเณรจำนวนมากไม่น้อยเป็นโรคจิตโรคประสาทจากการเรียนแบบนี้ มิพักต้องพูดถึงโรคกระเพาะและโรคอื่นๆ ที่เกิดจากความเครียดสูง
การศึกษาและการปกครองอย่างที่เป็นอยู่นี้แหละที่ทำให้พระสงฆ์ไทยทั้งหนุ่มและชราเป็นโรคเครียดกันมาก จนนำไปสู่ปัญหามากมาย รวมถึงการหาทางออกที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การหมกมุ่นกับความบันเทิงเริงรมย์จากโทรทัศน์และวีซีดี ทั้งโป๊และไม่โป๊ การเข้าหาอบายมุข การสะสมลาภสักการะ และการแย่งชิงอำนาจกัน มิพักต้องพูดถึงเรื่องอื้อฉาวต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน