ดงระแนงเติมสุข ตอน ศิลปะภาวนาผ่านธรรมชาติ Mindfulness Art

เครือข่ายพุทธิกา 27 สิงหาคม 2024

“ส่วนตัวรู้สึกสนุกมาก อารมณ์คล้ายๆ ถูกหลอกให้ฝึกสติแบบไม่รู้สึกตัว”

“ได้กลับมาอยู่กับตนเอง กาย ใจ รู้ทันความคิด ผ่านกิจกรรมศิลปะจากธรรมชาติ ที่ไม่น่าเบื่อ ไม่ง่วง”

“เห็นตนเองในมุมที่ดีและเสียงผ่านธรรมชาติ และรับรู้ความรู้สึกนั้นอย่างเข้าใจ”

คือความรู้สึกบางส่วนของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ศิลปะภาวนาผ่านธรรมชาติ Mindfulness Art จัดโดยกลุ่มก่อการครู ดงระแนงวิทยา จ.กาฬสินธุ์ โดยมีบุคลากรทางการศึกษาและบุคคลทั่วไปในวัยทำงาน ตั้งแต่ 20 ปี – 48 ปีเข้าร่วมกิจกรรม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ณ บ้านสวนแคนา ต.โนนสูง อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และพื้นที่ป่าคำเนียม

กระบวนการจัดกิจกรรมของกลุ่มก่อการครูนั้นได้พาผู้ร่วมกิจกรรมเรียนรู้อยู่กับธรรมชาติด้วยสายตาคู่ใหม่ ฝึกสังเกต รับรู้กายใจ ผ่านธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ทั้งยังชวนแบ่งปันความรู้สึกและไอเดียแบ่งปันช่วยเหลือสังคมผ่านวงสนทนา และนี่คือกิจกรรมแต่ละช่วงที่พวกเขาจัดขึ้น เพื่อเติมสุขให้ใจ

Check in สร้างเสียง

ฝึกสังเกตและรับรู้กายใจ ใช้ความหลากหลายของการกำเนิดเสียง เสียงจากปาก จากร่างกาย จากวัตถุรอบกาย การรับรู้ความรู้สึกผ่านการสร้างเสียงทีละคน รอจังหวะ ความพร้อมแล้วเปล่งเสียงต่อกันทั้งวง สังเกต และรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกและสะท้อนบทเรียนเป็นอย่างไร ในการเป็นทั้งผู้สร้างเสียงหรือการรอเข้าจังหวะเสียงเป็นวงกับเพื่อน บางคนรู้สึกอยู่กับปัจจุบันในการจังหวะสร้างเสียงจากร่างกายของตนเองหรือใช้สิ่งของ รู้สึกว่าการจับจังหวะของเรา ให้เข้ากับเพื่อนร่วมวง หลายคนรู้สึกสนุก หลายคนรู้สึกกังวล มีความไม่มั่นใจในการออกเสียงหรือสร้างจังหวะ ความรู้สึกหลังจบกระบวนการดังกล่าว

กิจกรรมเคาะจังหวะ ออกเสียง ทำให้เรามีสติรู้ตัวอยู่กับตัวเองมากขึ้น รู้สึกดีที่ออกมาทำกิจกรรมใหม่ๆ/ที่สนใจ กับบุคคลใหม่ๆ หรือบุคคลที่ปลอดภัย

เปิดความรู้สึก ผ่านเสียง

ให้ทุกคนลงพื้นที่เพื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติในป่าคำเนียม แนะนำพื้นที่ให้ทุกคนค่อยๆ รู้จักพื้นที่คำเนียม เลือกตำแหน่งตามความรู้สึกที่ตนเองอยากไป เปิดความรู้สึก สังเกตรอบกายจากนั้นค่อยๆ เปิดการรับรู้เสียงจากทุกทิศทาง ทุกสรรพสิ่งที่ โดยใช้เครื่องมือ “แผนที่เสียง” ใช้ปากกาทำสัญลักษณ์แทนเสียงที่มีแหล่งกำเนิดในทิศทางแตกต่างกัน ฝึกสังเกตและรับรู้กายใจ เรียนรู้สังเกตกับสิ่งที่เข้ามา มีทั้งเสียงรถจักรยานยนต์ เสียงรถไถนา เสียงนก แมลง คนเดิน จุด ขีด เมื่อได้ยินเสียงเข้ามากระทบ ระหว่างนั้นสังเกตการรับรู้ความคิดความรู้สึกของตนเอง ให้ทุกชมนิทรรศการ แผนที่เสียง และจับกลุ่มสะท้อนความคิด ความรู้สึกหลังจบกระบวนการดังกล่าว

กิจกรรมที่ต้องเข้าป่าไป รับฟังเสียงสิ่งแวดล้อม เป็นการทำให้เกิดความรู้สึกได้มาก กิจกรรมฟังเสียงธรรมชาติ ตอนนั้นมีเสียงจากภายนอกเข้ามารบกานจนรู้สึกไม่ดี แต่สักพักรู้สึกตัวรับรู้อารมณ์ตัวเองได้ จึงปรับมุมมองว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติต่างก็ต้องพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน

นิเวศภาวนา

การเชื่อมโยงธรรมชาติภายนอกและธรรมชาติภายในใจของแต่ละคนผ่านงานศิลปะโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติในผืนป่าคำเนียม โดยให้ทุกคนหาเส้นทางเรียนรู้ที่เชิญชวนเราเข้าไป ตามความรู้สึก ว่าจะเดินไปที่ไหน เลือกวัสดุธรรมชาติที่สนใจมาทีละชิ้นโดยสังเกต สัมผัส หรือดมกลิ่น ทำความรู้จักกับเพื่อนที่มาจากธรรมชาติให้มากที่สุด แล้วติดลงบนกระดาษ ค่อยๆ เก็บต่อ สรรค์สร้างชิ้นงานศิลปะ ระหว่างนั้นรับรู้สังเกตสิ่งที่เข้ามากระทบสะท้อนความคิด แล้วสะท้อนหลังจบกระบวนการ ความรู้สึกหลังจบกระบวนการดังกล่าว

การมีสติการอยู่กับธรรมชาติการปล่อยวางไม่ยึดติด การเข้าใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เติมทั้งสุขและเติมไฟ ได้รับพลังงานบวกผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและมุมมอง รับพลังเรื่องราวดีดีเข้าสู่ชีวิต มองชีวิตตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ อยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น

สัมผัสสีสันจากธรรมชาติ

ขั้นตอนมอบสติ๊กเกอร์กระดาษมีลักษณะวงกลมเล็กๆ 15 วง แก่ผู้เข้าร่วม และให้ผู้เข้าร่วมได้สังเกตสิ่งรอบตัว ใบไม้ ดอกไม้ ผล เปลือกไม้ ดิน หิน หรือวัสดุที่ให้สีจากธรรมชาติรอบกาย ทดลองใช้ ลองขยี้ แล้วทาสีลงบนกระดาษ ค่อยสัมผัสลงพื้นกระดาษสติ๊กเกอร์นั้นสังเกตสี สังเกตผิวสัมผัส รับรู้ความรู้สึก สังเกตใจของตนเองรู้สึกอย่างไรกับสีที่ปรากฏขึ้น พอใจ รู้สึกดี เพลิดเพลิน หรือรู้สึกไม่พอใจ ไม่ได้ดั่งที่คิดไว้ เบื่อ เหนื่อย ร้อน ให้สังเกตการรับรู้ทางกายและใจที่เกิดขึ้นขณะที่ทำกิจกรรม ค่อยเก็บสีจนครบ 15 สีรวมกันชมงานของเพื่อนนำสติ๊กเกอร์สี ไปทำงานศิลปะต่อกับแผนที่เสียง และสะท้อนความรู้สึกหลังจบกระบวนการ ความรู้สึกหลังจบกระบวนการดังกล่าว

กิจกรรมศิลปะภาวนา ได้อยู่กับตัวเอง รับรู้กายใจ ไม่จมอยู่ในอดีต ไม่กังวลกับอนาคต เข้าใจว่าการกำจัดความกังวลในใจจะทำให้ใจเป็นสุข ใช้ชีวิตด้วยใจที่อาสา เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือสังคมเท่าที่พอช่วยได้ แค่นี้ก็เติมความสุขให้กับใจตัวเองได้แล้ว

หลังจบกิจกรรมผู้เข้าร่วม 27 คน ต่างสะท้อนความรู้สึกว่า ทั้งสนุก ทั้งได้เรียนรู้คุณค่าจากธรรมชาติ เห็นความสวยงามของธรรมชาติ ความสงบสุขที่เกิดจากธรรมชาติ ทั้งยังทำให้ได้เรียนรู้กายใจผ่านการภาวนาในรูปแบบใหม่ เรียนรู้ที่จะตามทันอารมณ์ ความคิดตัวเอง ได้เห็นมุมที่ดีของตัวเอง และรับรู้ความรู้สึกนั้นอย่างเข้าใจ บางคนก็บอกว่าจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ไปจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ที่โรงเรียนบ้าง

ส่วนตัวผู้จัดกิจกรรมก็ได้ทิ้งท้ายถึงความรู้สึกว่า “ดีใจและรู้สึกภูมิใจ ที่ตัวเองได้เครื่องมือในการเติมสุขง่ายๆ หลายชิ้นจากธรรมชาติรอบกาย ได้ประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้มีสติรู้เนื้อรู้ตัวมาก ในชีวิตการทำงานมันมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว แต่บางจังหวะชีวิต ความเร่งรีบ การไม่รู้สึกตัว กับสิ่งที่เข้ามากระทบเราจะมองไม่เห็นและรับรู้ว่าจริงๆ สติ ความรู้สึกตัว มันเกิดขึ้นตลอด

เราได้เครื่องมือง่ายในการเติมสุขมิติที่ 1 ฝึกสังเกตและรับรู้กายใจ

การอยู่กับเสียง การสังเกตธรรมชาติด้วยดวงตาคู่ใหม่ การสังเกตอย่างมีสติ จะทำให้เรามองเห็น รายละเอียดของสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ความเรียบง่ายการมีสติในชีวิตมากขึ้น ความเป็นสัจธรรมความเข้าใจชีวิตมากขึ้นมีเกิดแก่เจ็บตาย อย่ายึดติดกับอะไรมากไปเรามาจากธรรมชาติ

ได้เท่าทันในมิติที่ 2 รู้จักมองและรับมือสิ่งที่มากระทบ ในสภาวะธรรมชาติ

เสียง แสง ความร้อนเย็นเสียงพัดลมและเสียงสัตว์ต่างๆ ทัศนคติที่ดี ต่อสิ่งที่มากระทบรับรู้ อย่างไม่มีอัตราโดยเอาไปประยุกต์ใช้การมี Empathy ต่อผู้อื่น

และมิติที่ 3 การนึกถึงและช่วยเหลือผู้อื่น

เครื่องมือในการเติมสุขง่ายๆ หลายชิ้นจากธรรมชาติรอบกาย สามารถนำไปใช้ได้กับตัวเอง เพื่อนร่วมงาน รวมถึงเอากลับเข้าไปในห้องเรียนให้เกิดความสติรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้นได้ รวมถึงการเติมสุขผ่านธรรมชาติ”


**กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเติมสุขทุกวัน โดยมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายเติมสุขในหลากหลายพื้นที่