ยามเช้าวันหวยออก เรามักพบภาพเจนตาตามแหล่งชุมชนและด้านหน้าอาคารสำนักงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่คนกลุ่มใหญ่รุมล้อมหน้าแผงขายลอตเตอรี่ โดยไม่นำพากับชุดเครื่องแบบอันทรงเกียรติที่สวมใส่ ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟสบุคหรือไลน์เต็มไปด้วยโพยใบ้หวยของอาจารย์ต่างๆ ตกบ่ายหลังหวยออกก็แทนที่ด้วยคำกลอนปลอบใจคนพลาดโชค
บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้ถึงนิทานในหนังสือชื่อ Good luck หรือโชคดีที่วิกเตอร์หนุ่มน้อยยากจนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีธุรกิจใหญ่โตเล่าให้เดวิดเพื่อนผู้เคยร่ำรวยเพราะมีโชคได้รับมรดกจากญาติห่างๆ แต่สุดท้ายก็สูญเสียธุรกิจไปโดยโทษว่าโชคไม่เข้าข้าง แม้จะเป็นนิทานเกี่ยวกับพ่อมดและอัศวินที่คุณปู่ของเขาเล่าให้ฟังก่อนนอนในวัยเด็ก แต่เต็มไปด้วยคำสอนเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่เหมาะกับผู้ใหญ่ทุกยุคทุกสมัย
ก่อนเริ่มเล่านิทานให้เพื่อนเก่าผู้รอคอยโชคฟัง วิกเตอร์เริ่มเรื่องด้วยการกล่าวกฎข้อแรกของโชคดีว่า โชคนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โชคดีนั้นเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตนเอง ดังนั้นมันจะคงอยู่ตลอดไป โชคนั้นมาเร็วไปเร็ว ดังนั้นคนถูกลอตเตอรี่ร้อยละ 90 จะรวยอยู่ได้ไม่นานเกิน 10 ปี ส่วนคนที่ทำมาหากินจะรวยนานกว่าดังที่เขาลงมือทำนั่นเอง
ในนิทาน พ่อมดเมอร์ลินผู้โด่งดังเรียกอัศวินหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่สวนในเขตปราสาท เพื่อบอกว่ามีต้นโคลเวอร์สี่ใบซึ่งเป็นต้นไม้วิเศษที่สามารถดลบันดาลโชคที่ไม่สิ้นสุดและไม่จำกัดเวลาอยู่ในป่ามหัศจรรย์ในภูเขาหลงลืมอันไกลโพ้น โดยมีเวลาให้เหล่าอัศวินค้นหาเพียงเจ็ดวันเท่านั้น เมื่อรู้เงื่อนไขอัศวินส่วนใหญ่ก็ถอดใจเดินทางกลับ เหลือเพียงสองคนที่พร้อมจะเดินทางไปหาต้นไม้วิเศษในป่ามหัศจรรย์ ซึ่งตรงกับกฎแห่งโชคดีข้อ 2 ที่ว่าคนที่อยากมีโชคดีมีมาก แต่คนที่ตัดสินใจไข่วคว้าหามาให้ได้นั้นมีน้อย
แล้วอัศวินทั้งสองก็แยกกันเดินทางสู่ป่ามหัศจรรยที่หนาทึบมืดมิดทั้งกลางวันกลางคืนเนื่องด้วยป่าทึบจนแสงส่องไม่ถึง โดยใช้เวลาถึงสองวันสองคืน ในวันที่ 3 อัศวินผู้สวมเสื้อคลุมดำถามเจ้าชายแห่งผืนดินถึงต้นโคลเวอร์สี่ใบ และได้รับคำตอบว่าผืนดินแห่งนี้ไม่เคยมีต้นโคลเวอร์ขึ้นเลย เขาจากไปพร้อมความกลัวแต่แทนที่ความกลัวด้วยการไม่เชื่อ ซึ่งเหมือนกับคนที่คอยโชคทั้งหลายที่มักบอกตัวเองว่า “พรุ่งนี้จะไม่เหมือนวันนี้ จะมีโชครอคอยอยู่” ส่วนอัศวินผู้สวมเสื้อคลุมขาวที่ตามไปภายหลังได้รับคำตอบเดียวกัน แต่ด้วยความสงสัยจึงถามต่อว่าเหตุใดต้นโคลเวอร์จึงไม่เคยขึ้นในผืนดินนี้ จึงรู้ว่าต้นโคลเวอร์จะขึ้นในดินที่ร่วนซุยเท่านั้นแต่ผืนดินแห่งนี้ไม่เคยถูกปรับหน้าดินเลย เขาเดินทางไปยังแหล่งดินสดใหม่เพื่อนำดินกลับมา จากนั้นก็ถอนวัชพืชและปรับหน้าดินแล้วนอนหลับไป เขากำลังทำตามกฎข้อ 3 ว่าหากตอนนี้ยังไม่มีโชคดี อาจเป็นเพราะสภาวะแวดล้อมยังเป็นแบบเดิมๆ อยู่ จำเป็นต้องสร้างสภาวะใหม่ๆให้เกิดขึ้น
วันที่ 4 อัศวินดำขี่ม้าออกตามหาคนที่จะยืนยันว่าเจ้าชายแห่งผืนดินพูดผิด เขาพบกับเทพีแห่งทะเลสาบที่บอกว่าต้นไม้โคลเวอร์ขึ้นในป่านี้ไม่ได้ เขาเริ่มกลัวมากขึ้นและเริ่มเชื่อว่าบางทีอาจไม่มีโชคมาเยือน แต่ก็ยังหวังว่าจะเจอต้นโคลเวอร์ จึงรีบออกตามหาคนที่จะมายืนยันว่ามีต้นโคลเวอร์อยู่ที่นี่จริงๆ ส่วนอัศวินขาวตามไปภายหลัง เมื่อได้คำตอบเดียวกันก็ถามต่อว่าต้นโคลเวอร์ต้องการน้ำเท่าใดอย่างไรจึงจะขึ้นได้ เทพีแห่งทะเลสาบบอกว่าต้นโคลเว่อร์ต้องการแอ่งน้ำที่ชุ่มใส เขาจึงขุดร่องน้ำจากทะเลสาบสร้างเป็นลำธารน้ำใส โดยคิดว่าแม้จะมีโอกาสน้อยมากที่จะพบต้นโคลเวอร์ แต่อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำสิ่งที่ต้องทำแล้ว เขาทำตามกฎข้อ 4 คือการเตรียมสภาวะที่เหมาะสมสำหรับโชคดี
วันที่ 5 อัศวินดำผู้สิ้นหวังอยากเดินทางกลับปราสาทแต่มันไกลเกินไป เขาคิดว่าจะอยู่ในป่านี้จนถึงวันที่ 7 เผื่อจะมีใครบอกแหล่งที่อยู่ของต้นไม้มหัศจรรย์ แต่เมื่อได้พบราชินีแห่งต้นไม้ที่บอกเขาว่าพันปีมานี้เธอไม่เคยเห็นต้นโคลเว่อร์ในป่านี้เลย เขาจึงจากไปโดยเฝ้าแต่คิดว่าพ่อมดเมอร์ลินได้ข้อมูลมาผิดๆ หรือหลอกลวงเขา ตรงกันข้ามกับอัศวินขาวที่ตามมาภายหลัง แม้จะรู้จากราชินีแห่งต้นไม้ว่าไม่มีต้นโคลเวอร์ในป่านี้ แต่อยากรู้ต่อว่าต้นโคลเวอร์ต้องการแสงและเงาเท่าใด เมื่อได้คำตอบว่าต้นโคลเว่อร์ต้องการแสงและเงาเท่าๆ กัน ก็กลับมาลงมือลิดกิ่งไม้ที่ตายแล้วกับใบไม้แห้งๆ บริเวณแปลงดินอย่างไม่รีรอทั้งๆ ที่ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวัน ตรงกับกฎข้อ 5 ที่ว่าหากผัดผ่อนการเตรียมสภาวะที่เหมาะสม บางทีโชคดีอาจไม่มาเลย
คนที่อยาก ‘โชคดี’ มีมาก แต่คนที่ตัดสินใจไข่วคว้ามาให้ได้ มีน้อย
วันที่ 6 อัศวินดำไม่หวังว่าจะพบต้นไม้มหัศจรรย์อีกแล้ว แต่ไม่อยากจะกลับปราสาทคนเดียว ระหว่างนั้นเขาเริ่มกลัวว่าโชคจะไม่มีวันหามาเขา และเขาต้องการหาคนมายืนยันว่าป่านี้ไม่มีต้นไม้มหัศจรรย์ หรือเขาเป็นคนอับโชคจริงๆ หรือไม่ก็หาคนมารับผิดชอบสิ่งร้ายๆ เหล่านั้น เขาขี่ม้าไปเรื่อยๆ ขึ้นไปบนยอดเขาสูงพบมารดาแห่งหินทั้งปวงที่ยืนยันว่าต้นโคลเว่อร์ขึ้นบนหินไม่ได้ เขาจึงสรุปว่าอัศวินขาวก็จะไม่เจอต้นไม้มหัศจรรย์เช่นกัน การคิดถึงความล้มเหลวของคนอื่นทำให้เขาสงบขึ้น ส่วนอัศวินขาวยังครุ่นคิดต่อว่านอกจากสิ่งที่เขาได้ทำลงไปแล้ว ยังมีสิ่งใดที่เหมือนไม่จำเป็นแต่ขาดไม่ได้ เขาเดินขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อหามุมมองใหม่ๆ ที่นั่นมารดาแห่งหินทั้งปวงให้คำตอบว่าต้นโคลเวอร์สี่ใบที่อ่อนแอจะไม่มีวันขึ้นในที่ๆ มีหินเด็ดขาด เขาจึงรีบกลับไปเก็บหินออกจากดินที่ปรับปรุงไว้ เขาทำตามกฎข้อ 6 ว่าในสภาวะที่ดูเหมือนจะพร้อมแล้ว บางครั้งโชคดีก็ไม่มาเยือน จงมองหารายละเอียดเพราะในรายละเอียดปลีกย่อยมีข้อมูลที่เป็นหัวใจสำคัญซ่อนอยู่
วันที่ 7 อัศวินทั้งสองได้พบกันที่บริเวณแปลงดินของอัศวินขาว “เจ้าช่างโง่นัก ป่าแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นล้านเท่า ไม่มีใครบอกเจ้าสักหน่อยว่าต้นไม้มหัศจรรย์จะขึ้นที่นี่ ข้าไปละ ข้าจะไปพบเจ้าที่ปราสาท” อัศวินดำเยาะหยันแล้วจากไป เป็นไปตามกฎข้อ 7 บอกว่าคนที่เชื่อแต่เรื่องโชคจะเห็นว่าการสร้างสภาวะที่เหมาะสมเป็นเรื่องไร้สาระ ส่วนคนที่สร้างสภาวะที่เหมาะสมให้เกิดขึ้น จะไม่กังวลเรื่องโชคอีกต่อไป
ในคืนนั้นแม่มดร้ายก็มาหาอัศวินดำแล้วบอกว่า หากเขาฆ่าพ่อมดเมอร์ลินซึ่งเป็นศัตรูของนางได้ นางจะมอบต้นไม้มหัศจรรย์ให้เขา อัศวินดำรับข้อเสนอแล้วรีบบึ่งม้ากลับเข้าเมือง จะเห็นได้ว่าคนที่หวังว่าตัวเองจะพบโชคดีโดยไม่ต้องทำอะไรมักจะรับข้อเสนอจากคนคนแรกที่ยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งขัดกับกฎข้อ 8 ที่ว่าไม่มีใครขายโชคได้ โชคดีไม่มีขาย จงอย่าเชื่อใจคนที่เสนอขายโชค ส่วนอัศวินขาวไม่เชื่อคำกล่าวแม่มด เขาไม่หมดความเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอยู่ ซึ่งตรงกับกฎข้อ 9 ที่ว่าเมื่อได้สร้างสภาวะที่เหมาะสมทุกประการแล้ว จงอดทน อย่าละทิ้งไป โชคดีจะมาเยือน จงเชื่อมั่น
ในที่สุด ลม เจ้าแห่งชะตาชีวิตและโชคก็พัดพาฝนและเมล็ดพันธุ์โคลเว่อร์สี่ใบจำนวนมหาศาลตกลงทั่วป่ามหัศจรรย์และทั่วทั้งอาณาจักร แต่มีเพียงไม่กี่สิบเมล็ดที่ตกลงในแปลงดินใหม่สมบูรณ์กลายเป็นต้นอ่อนจำนวนมากพอที่จะให้โชคตลอดทั้งปีและไม่มีวันหมด “ข้าไม่ได้แจกโชค ข้ากระจายโชคให้เท่าเทียมกัน เจ้าสร้างสภาวะที่เหมาะสม ปัญหาคือแทบทุกคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไร” เจ้าแห่งลมบอก จะเห็นว่าโชคดีคือผลรวมของโอกาสและความพร้อมนั่นเอง ตรงกับกฎข้อ 10 ที่ว่า การสร้างโชคดีคือการเตรียมสภาวะแวดล้อมให้พร้อมสำหรับโอกาส โอกาสไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่โอกาสมีตลอดเวลา
โชคนั้นอยู่ไม่นาน เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โชคดีเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตนเอง ดังนั้นมันจะคงอยู่ตลอดไป
ดูเหมือนว่ากฎแห่งความโชคดี 10 ข้อในนิทานเรื่องนี้จะคล้ายคลึงกับหลักคำสอนทางศาสนาพุทธที่ช่วยให้ทำหน้าที่การงานประสบความสำเร็จเรื่องอิทธิบาท 4 ประกอบด้วยฉันทะคือความรักในการงานที่ทำ วิริยะ การมีความเพียรมุ่งมั่นทุ่มเท จิตตะ มีใจจดจ่อรับผิดชอบ และวิมังสาคือการหมั่นนึกตรึกตรองในการงานนั่นเอง
มาหมั่นสร้างสภาวะที่เหมาะสมเพื่อรอโชคดี แทนการหวังลาภลอยคอยโชคกันเถอะค่ะ
อดีตนักข่าว นักเขียน บรรณาธิการนิตยสารสิ่งแวดล้อม และนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเป็นนักเขียนอิสระที่สนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษา ขณะเดียวกันก็รักการเดินทางและการออกกำลังกาย นิยมการเดินป่า เล่นโยคะ ปั่นจักรยาน และทำสวน ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง