ในวงพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องความสุขของคนทำงานโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา มีกิจกรรมหนึ่งที่ผู้จัดได้ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทำร่วมกันก่อนการแลกเปลี่ยน ชื่อกิจกรรมว่า ดัชนีความสุข ผมในฐานะผู้เล่น เมื่อได้รับโจทย์ว่า ถ้าให้นึกถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความสุขในชีวิตเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณคิดถึงอะไร ? และถ้าให้จัดอันดับจากน้อยไปหามาก ความสุขเรื่องนั้นหรือชนิดนั้นของคุณอยู่ในระดับไหน ?
ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะได้คำตอบว่าความสุขเรื่องนั้นของผมคืออะไร
อยู่ๆ เรื่องนี้ก็โดดเด่นขึ้นมา
ผมจัดตัวเองไว้ท้ายสุดของขบวนความสุขที่ผู้เล่นต่อแถวยาวจากปริมาณความสุขมากไปหาน้อย และผมก็เป็นบุคคลแรกที่โดนเลือกให้เล่าเรื่องแลกเปลี่ยนของตัวเองก่อนคนอื่น
“ความสุขของผมเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ยากที่จะสัมผัส” ผมเริ่มต้นเล่า
“ผมชื่นชอบบรรยากาศยามเย็นตอนพระอาทิตย์ตก แสงสีแดง ส้ม ทางด้านทิศตะวันตกในช่วงเวลาประมาณห้าถึงหกโมงเย็นนั้น ทำให้ผมรู้สึกโล่งว่างจากความคิด ความกังวลต่างๆ แต่มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นนักและยากมากที่ผมจะมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศเช่นนั้นในแต่ละวัน”
ผมหยุดเล่าครู่หนึ่ง เนื่องจากเหมือนมีเสียงใครเรียกชื่อผมอีกด้านหนึ่ง
“นอกจากการได้ชื่นชมท้องฟ้ายามเย็นแล้ว การได้ยืนมองพระจันทร์ในยามค่ำคืนก็เป็นอีกความสุขหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ แต่มันก็ช่างสั้นนัก เนื่องจากชีวิตผมนั้นต้องรีบเร่ง วุ่นวายกับอะไรหลายๆ อย่าง แถมยังโดนบังด้วยตึกใหญ่โตใจกลางเมืองเสียอีก ชีวิตในมหานครนั้นไม่ได้เอื้ออำนวยให้ผมได้มีความสุขของชีวิต ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ผมเองที่ไม่สามารถจัดการกับชีวิตให้มีความสุขแบบนั้นได้….”
ผมยังเล่าได้ไม่จบดี เสียงที่เรียกชื่อผมชัดเจนขึ้นจากด้านหน้า เด็กสาวหน้าตาเปื้อนยิ้มคนนั้นก็โบกไม้โบกมือให้ผมพร้อมกับตะโกนข้ามสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งต่อแถวความสุขมาจากด้านหน้าสุด
“มาอยู่กับหนู มาอยู่บ้านหนู” ทุกคนที่ร่วมกิจกรรมต่างหัวเราะน้ำเสียงและความสดใสของหญิงสาวที่เชื้อเชิญผมขยับขึ้นไปอยู่อันดับที่มีความสุขสูงที่สุด
“บ้านหนูมีพระจันทร์สวยมากเลยนะ มีทั้งกลางวันและกลางคืนเลย”
เธอสาธยายจนผมเห็นภาพ
เด็กสาวคนนั้นเธอชื่อเจ๊ะ เป็นเด็กสาวชาวปกาเกอะญอ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่โลกของเธอช่างดูสดใส สมควรแล้วที่เธอจัดระดับตัวเองว่าเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหลาย
หลังจากกิจกรรมในวันนั้น ผมก็มีโอกาสได้คุยแลกเปลี่ยนกับเจ๊ะในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความสุข ความทุกข์
ผมเข้าใจว่าการที่เจ๊ะชวนผมไปอยู่ดอยเพราะที่นั่นมีธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์ มีพระจันทร์ให้ดูใกล้ๆ แถมฤดูกาลนี้ยังมีดาวสวยๆ เต็มท้องฟ้า นอกจากเรื่องนี้แล้ว ชีวิตบนดอยก็ไม่ต้องรีบเร่งแข่งขันอะไรมาก ผู้คนก็มีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันดี ฟังดูแล้วชีวิตของเจ๊ะน่าจะมีแต่ความสุขจริงๆ อย่างที่เธอเล่า
ผมก็เลยถามถึงเรื่องความทุกข์กับเธอบ้าง ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเธอมีความทุกข์อะไรบ้างหรือเปล่า เจ๊ะทำหน้าครุ่นคิดอยู่นาน จนตัดสินใจเล่าเรื่องแม่ขายไก่ให้ผมฟัง
เรื่องมีอยู่ว่า เจ๊ะกับแม่มักจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกันอยู่หลายเรื่อง และเวลาที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันก็จะเกิดข้อถกเถียงและอ้างเหตุผลของแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องที่แม่ขายไก่
ที่บ้านบนดอยของเจ๊ะ แม่และเจ๊ะจะเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว นอกจากจะเป็นอาหารสำหรับครอบครัวแล้ว ไก่ที่เลี้ยงยังมีไว้สำหรับขาย เจ๊ะคิดว่าไก่จะสร้างรายได้และกำไรบ้าง แต่เวลาที่มีคนมาซื้อแม่มักจะขายให้ด้วยราคาถูกๆ ตัวละ ห้าบาท สิบบาทบ้าง ซึ่งเจ๊ะมีความคิดว่าเป็นการขายที่ได้ราคาถูกมาก หลายครั้งที่เจ๊ะพยายามถามเหตุผลจากแม่ แต่แม่ก็ไม่ได้ให้คำตอบ และทุกครั้งเจ๊ะก็จะเป็นทุกข์กับเรื่องที่แม่ขายไก่ จนแม่ยอมอธิบายว่า การที่แม่ขายไก่ให้เพื่อนบ้านราคาถูกนั้น เป็นเพราะว่าเรามีไก่อยู่เยอะ การที่เพื่อนบ้านเขามาขอซื้อก็แสดงว่าเขาไม่มี ถ้าเรามีก็ควรช่วยเหลือเขาโดยการขายให้เขาราคาถูก ถือว่าเป็นการแบ่งปันและช่วยเหลือกัน ถ้าถึงเวลาที่เราไม่มีบ้าง อย่าว่าแต่ไก่เลย ถึงเป็นสิ่งของอย่างอื่นเขาก็จะช่วยเราเหมือนกัน
เจ๊ะฟังเหตุผลจากแม่ครั้งนั้นแล้ว ก็ยังไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่แม่ทำและจะเป็นทุกข์กับเรื่องนี้มาตลอด จนได้มาเรียนรู้กับโครงการสุขแท้ด้วยปัญญา ได้เรียนรู้ทัศนคติความสุข โดยครั้งนั้นเจ๊ะได้ฟังพระไพศาล วิสาโล พูดถึงการคิดถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง และการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นประโยชน์เกื้อกูล พระอาจารย์บอกว่า การคิดถึงแต่ตนเองทำให้จิตใจคับแคบ อัตตาหรือตัวตนใหญ่ขึ้นทำให้ถูกกระทบหรือเป็นทุกข์ได้ง่าย ขณะเดียวกันก็เป็นคนสุขยากเพราะได้เท่าไรก็ไม่พอใจเสียที ในทางตรงข้ามการคิดถึงคนอื่นจะช่วยให้ตัวตนเล็กลง เห็นความทุกข์ของตนเองเป็นเรื่องเล็กน้อย ยิ่งช่วยผู้อื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขเพราะได้เห็นผู้อื่นมีความสุขด้วย ความสุขของเราย่อมไม่แยกจากความสุขของผู้อื่น
“การที่เพื่อนบ้านมาขอซื้อก็แสดงว่าเขาไม่มี ถ้าเรามีก็ควรขายให้เขาในราคาถูก ถือเป็นการแบ่งปันและช่วยเหลือกัน”
เจ๊ะเล่าเรื่องนี้ด้วยท่าทีจริงจัง แถมยังบอกว่าตอนที่ฟังพระอาจารย์เล่าเรื่องนี้ในใจก็พลันคิดถึงเรื่องที่แม่ขายไก่ เรื่องที่ตัวเองเป็นทุกข์ที่คิดเห็นไม่ตรงกับแม่ การฟังบรรยายครั้งนั้นทำให้เจ๊ะเกิดปีติจากความเข้าใจแม่และเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจในทัศนคติคิดถึงคนอื่นมากกว่าตนเอง
ทัศนคติสุขแท้ด้วยปัญญาที่ว่าด้วยการคิดถึงคนอื่นมากกว่าตนเองดังกล่าวเกิดขึ้นได้เพราะมีปัญญามองเห็นว่า เราไม่อาจจะอยู่คนเดียวในโลกนี้ได้ แต่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น การให้ผู้อื่นมีความสุขก็ย่อมทำให้เรามีความสุขด้วย และยิ่งมีความเห็นแก่ตัวน้อยลงเพียงใดก็ยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ส่วนการคิดอย่างมีเหตุผลนั้นก็เกิดจากปัญญาที่มองว่า ไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือจากเหตุและผล การเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุและผลจะช่วยให้เราเห็นความจริงและนำความจริงนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ รวมทั้งเห็นว่าการคิดถึงตนเองที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักคิดและพิจารณาด้วยตนเอง
นับว่าเป็นความโชคดีมากที่ผมได้คุยกับเจ๊ะในเรื่องนี้ มันทำให้ผมเห็นว่าคนเราก็มีทั้งความสุขและความทุกข์ ใช่ว่าการอยู่ในที่ที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีอากาศบริสุทธิ์ มีพระจันทร์ทั้งกลางวันและกลางคืนจะไม่มีความทุกข์ แท้ที่สุดแล้วสิ่งที่ทำให้ทุกข์ก็คือเรื่องความคิดของเราเอง ถ้าเรารู้จักมองโลกหรือมีทัศนคติอย่างแม่ของเจ๊ะ หรือจากเจ๊ะที่เกิดความเข้าใจและได้เล่าสู่ผมฟังนั้น ก็จะทำให้เราหาความสุขได้ในทุกๆ ที่ แต่ยังไงถ้ามีโอกาสผมคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเจ๊ะที่สบเมยสักครั้ง