แผนที่ความทุกข์

ปรีดา เรืองวิชาธร 26 ธันวาคม 2010

ระหว่างการอบรม “ผ่อนพักตระหนักรู้ เพื่อดุลยภาพกาย จิต ปัญญา และความรัก” จัดโดยเสมสิกขาลัย เราให้ผู้เข้าร่วมอบรมนั่งล้อมกันเป็นวงกลมเพื่อวาดรูปความงอกงามของเมล็ดพันธุ์  เริ่มต้นโดยให้ทุกคนค่อยๆ บรรจงวาดรูปผืนดินอันอุดม  เมล็ดพันธุ์พืชที่กำลังหยั่งรากลึกลงไปในผืนดินพร้อมกับต้นอ่อนที่กำลังผลิบาน (ขณะที่วาดจะมีบทภาวนาและเสียงดนตรีอันประณีตประกอบ)  เมื่อทุกคนวาดเสร็จให้หยุดนิ่งเพื่อซึมซับความงามจากรูปของตน  จากนั้นให้ทุกคนส่งรูปไปให้เพื่อนด้านขวา  และให้ทุกคนวาดรูปลำต้นและกิ่งก้านที่กำลังเติบโตต่อเติมจากเจ้าของรูปที่วาดไว้ก่อน  เมื่อวาดลำต้นเสร็จทุกคนก็ส่งรูปไปทางขวาอีกครั้งเพื่อให้เพื่อนวาดรูปใบ ดอกและผลต่อยอดจากเดิมอีก เสร็จแล้วก็ส่งรูปไปทางขวาอีกครั้ง  ในจังหวะนี้เองก็ขอให้เพื่อนวาดรูปจากจินตนาการว่ามีพายุใหญ่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ได้โหมกระหน่ำทำลายล้างต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตเต็มที่  เมื่อวาดภาพการทำลายล้างเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ส่งรูปคืนเจ้าของเดิม  และใช้เวลาอีกครู่ใหญ่เพื่อให้เจ้าของรูปนิ่งพิจารณาภายใน แล้วขอให้วาดรูปการก่อกำเนิดสิ่งใหม่จากซากปรักหักพังที่เหลืออยู่

หลังจากกิจกรรมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ผู้เข้าร่วมอบรมได้แลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของการวาดรูป  แทบทุกคนจะพูดตรงกันว่า ช่วงแรกที่วาดรูปของตัวเองจะทำอย่างใส่ใจเต็มที่ ทำด้วยความรู้สึกดีๆ ที่อยากเห็นความเติบโตงอกงามเกิดขึ้น  บางคนขณะวาดไปก็จินตนาการถึงความผลิบานและเติบโตเต็มที่ในเวลาอีกไม่ช้านี้  แต่พอต้องส่งรูปไปให้เพื่อนด้านขวา หลายคนรู้สึกอึดอัดกังวลใจไม่อยากส่งให้เพื่อนวาดต่อ เพราะกลัวรูปจะออกมาไม่ดีตรงกับใจอยากให้เป็น  แต่มีบางคนพิจารณาสักครู่ก็ปล่อยวางใจส่งรูปให้เพื่อนได้  บ้างก็เพราะเชื่อมั่นว่าคนอื่นก็คงตั้งใจวาดเต็มที่เช่นกัน บ้างก็มองว่าเราต้องตัดความกังวลใจออกไปก่อนเพื่อมุ่งทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด  และพอถึงจังหวะที่ต้องวาดพายุใหญ่เพื่อทำลายล้างต้นไม้ใหญ่ของเพื่อน หลายคนรู้สึกเศร้าแกมเสียดาย  มีไม่น้อยที่ไม่พอใจคำสั่งนี้เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลาย  บางคนก็กังวลใจว่าเพื่อนจะเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียรูปอันงดงามนี้ไป  บางคนก็รู้สึกรังเกียจการทำลายล้างเพราะมันทำให้ทุกสิ่งสูญสิ้นหรือเกิดการพลัดพราก

ส่วนในช่วงสุดท้ายที่ทุกคนได้รูปกลับคืนมาเพื่อวาดรูปการก่อกำเนิดสิ่งใหม่  บางคนรู้สึกเศร้าซึมต้องทำใจอยู่พักหนึ่งจึงจะเริ่มต้นวาดได้  บางคนกลับรู้สึกอิ่มเอมใจที่สิ่งใหม่ๆ อันแปลกตางดงามไปอีกแบบกำลังเกิดขึ้น  แต่ก็มีหลายคนที่สัมผัสได้ถึงความจริงที่ว่า  ชีวิตต้องกล้าเผชิญกับความผันผวนปรวนแปรอย่างไม่คาดฝันและไม่รู้จบสิ้น  เราไม่ควรเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์กับความสูญเสีย ความผิดพลาดล้มเหลวที่เกิดขึ้น  แม้ว่าเราจะพยายามทำอย่างสุดกำลังความสามารถแล้วก็ตาม แต่ก็อาจมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่อยู่นอกเหนือการรับรู้และควบคุมของเรา หลายอย่างในชีวิตจึงไม่อาจเป็นไปตามใจที่วาดหวังไว้

อย่างไรก็ตามแม้เรามิอาจขัดขืนความจริงของธรรมชาติข้อนี้ไปได้  แต่เราก็สามารถตั้งสติเพื่อยอมรับตามที่มันเป็น และสร้างพลังใจด้วยการทำสิ่งที่ควรทำตรงหน้าต่อไปให้ดีที่สุด โดยใช้ความผันผวนปรวนแปรของชีวิตมาเป็นบทเรียนให้กับการดำเนินชีวิตก้าวต่อไป ว่า หากเราจะทำกิจสิ่งใดพึงสำเหนียกในใจอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งที่ทำล้วนมีความเปราะบาง ผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เปรียบไปคล้ายดั่งเรากำลังก่อกองทรายริมชายหาด  ดังนั้นขณะที่ชีวิตกำลังพวยพุ่งสู่ความสำเร็จก็อย่าได้หลงยึดมั่นถือมั่นว่า มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดกาล  รวมถึงขณะทำกิจสิ่งใดก็ไม่ควรสำคัญมั่นหมายว่า มันจะต้องออกมาสำเร็จสมบูรณ์อยู่ทุกคราวไป  ขอเพียงตั้งใจทำไปอย่างสุดกำลังความสามารถหรือทำไปตามเหตุปัจจัยเท่าที่รู้ เสร็จแล้วก็ปล่อยวางใจลง  ผลจะออกมาอย่างไรก็พร้อมเผชิญอย่างกล้าหาญ

ขณะที่ชีวิตกำลังพวยพุ่งสู่ความสำเร็จก็อย่าได้หลงยึดมั่นว่า มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดกาล

เมื่อตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดเราจึงรู้สึกยึดมั่นถือมั่นในภาพวาดของเรา รวมไปถึงในชีวิตจริงอะไรที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า มีตัวกูของกูแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ

หลายคนตอบอย่างใคร่ครวญว่า เพราะทุกสิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปอย่างเต็มกำลังความสามารถก็มักจะตอกย้ำว่า นี่ผลงานของเรานะ นี่เงินหรือรางวัลชีวิตของเรานะ ซึ่งกว่าจะได้มายากลำบากแสนเข็ญเพียงใด  บางคนมองเห็นแต่เพียงว่า งานหรือกิจกรรมที่ทำนั้นเป็นฝีมือตัวเองล้วนๆ จึงเกิดความยึดมั่นว่าเป็นผลงานของกู  แต่มองข้ามความจริงไปว่า จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่เป็นองค์ประกอบแห่งความสำเร็จนั้น แม้จะไม่มีผู้อื่นเข้ามาร่วมในขณะที่ทำ  อย่างเช่น ความคิดความสามารถอันสร้างสรรค์ของเราก็ล้วนก่อกำเนิดมาจากครูบาอาจารย์หรือมาจากสิ่งอื่นคนอื่น เราจะสำคัญตัวเองอย่างหยิ่งผยองว่า นั่นเป็นความสำเร็จที่มาจากตัวเองล้วนๆ ได้ละหรือ

บางคนแบ่งปันว่า การเห็นความเติบโตงอกงามที่กำลังดำเนินไปสู่ความสำเร็จสมบูรณ์มักทำให้รู้สึกชุ่มชื่นใจหรือภูมิใจ จึงตอกย้ำความรู้สึกว่าผลงานนี้ของกูนะ  และยิ่งได้รับการยอมรับหรือคำชื่นชมสรรเสริญ เราก็จะถูกตอกย้ำว่ามีตัวกูที่เก่งกาจ สูงส่งไม่ธรรมดา รวมถึงเริ่มมองอย่างเปรียบเทียบว่าเหนือหรือด้อยกว่าคนอื่น  ยิ่งสำเร็จก้าวหน้ามากเท่าใด ความรู้สึกว่ากูแน่ก็ยิ่งแน่นหนาขึ้นไปเท่านั้น  แต่พอถึงคราวล้มเหลวหรือโดนสบประมาทเข้าหน่อย เราก็ออกอาการหวั่นไหวไม่มั่นคงภายในขึ้นมาทันที

ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกูของกูเกิดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เพราะว่า ตอนที่เราสัมผัสรับรู้สิ่งใดเราไม่ได้ใช้สติและปัญญารับรู้  แต่สัมผัสรับรู้ด้วยความหลงว่า ทุกสิ่งจะต้องเป็นไปตามความอยากให้เป็นของเรา  ดังนั้นขณะที่ชีวิตกำลังเผชิญสิ่งใดจึงเป็นการสัมผัสรับรู้ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความจริงแท้เกือบตลอดเวลา ซึ่งจะเกิดความยึดมั่นถือมั่นเข้มข้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นกระบวนการหรือปัจจัยภายในของเราที่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความลุ่มหลงยึดมั่นเป็นพื้นอยู่แล้ว  แต่ยังมีปัจจัยภายนอกอีกมากที่คอยกระตุ้นเร้าและช่วยตอกย้ำความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ ระบบการศึกษาที่มุ่งสอนคนให้แข่งขันและมุ่งสำคัญตนว่าเก่งและยิ่งใหญ่  ระบบสื่อโฆษณาที่คอยกระตุ้นให้เราอยากได้อยากเป็น  วัฒนธรรมหรือค่านิยมของสังคมที่มุ่งให้คนแข่งขันไต่เต้าเอาดี ซึ่งมาในรูปของวัฒนธรรมบริโภคนิยม  ทั้งนี้รวมไปถึงลัทธิเศรษฐกิจทุนนิยมอันสุดโต่ง เป็นต้น

ปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมหาศาลที่คอยตอกย้ำความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นของคนให้เข้มข้นแน่นหนา สังคมจึงเกิดความขัดแย้งแก่งแย่งวุ่นวายไปทุกที่  ดังนั้นเราจึงควรสำเหนียกต่อความจริงของชีวิตแต่ละขณะ เพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดภายในและรู้เท่าทันกระแสเหตุปัจจัยภายนอก  เพื่อที่จะมีท่าทีหรือการปฏิบัติต่อสิ่งเร้าภายนอกอย่างไม่ตกไปสู่บ่วงแห่งความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทุกชนิด


ภาพประกอบ

ปรีดา เรืองวิชาธร

ผู้เขียน: ปรีดา เรืองวิชาธร

สนใจและศึกษาเรื่องการเรียนรู้แนวจิตวิญญาณและกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเป็นกระบวนกรให้กับเสมสิกขาลัยนับแต่ปี 2546 จนถึงปัจจุบัน