ระหว่างการอบรม “ผ่อนพักตระหนักรู้ เพื่อดุลยภาพกาย จิต ปัญญา และความรัก” จัดโดยเสมสิกขาลัย เราให้ผู้เข้าร่วมอบรมนั่งล้อมกันเป็นวงกลมเพื่อวาดรูปความงอกงามแห่งเมล็ดพันธุ์ เริ่มต้นโดยให้ทุกคนค่อยๆ บรรจงวาดรูปผืนดินอันอุดม เมล็ดพันธุ์พืชที่กำลังหยั่งรากลึกลงไปในผืนดินพร้อมกับต้นอ่อนที่กำลังผลิบาน (ขณะที่วาดจะมีบทภาวนาและเสียงดนตรีอันประณีตประกอบ) เมื่อทุกคนวาดเสร็จให้หยุดนิ่งเพื่อซึมซับความงามจากรูปของตน จากนั้นให้ทุกคนส่งรูปไปให้เพื่อนด้านขวา และให้ทุกคนวาดรูปลำต้นและกิ่งก้านที่กำลังเติบโตต่อเติมจากเจ้าของรูปที่วาดไว้ก่อน เมื่อวาดลำต้นเสร็จทุกคนก็ส่งรูปไปทางขวาอีกครั้งเพื่อให้เพื่อนวาดรูปใบ ดอกและผลต่อยอดจากเดิมอีก เสร็จแล้วก็ส่งรูปไปทางขวาอีกครั้ง ในจังหวะนี้เองก็ขอให้เพื่อนวาดรูปจากจินตนาการว่ามีพายุโคลนเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ได้ทำลายล้างต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตเต็มที่ เมื่อวาดภาพการทำลายล้างเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ส่งรูปคืนเจ้าของเดิม และใช้เวลาอีกครู่ใหญ่เพื่อให้เจ้าของรูปนิ่งพิจารณาภายใน แล้วขอให้วาดรูปการก่อกำเนิดสิ่งใหม่จากซากปรักหักพังที่เหลืออยู่
หลังจากกิจกรรมเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ผู้เข้าร่วมอบรมได้แลกเปลี่ยนแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของการวาดรูป แทบทุกคนจะพูดตรงกันว่า ช่วงแรกที่วาดรูปของตัวเองจะทำอย่างใส่ใจเต็มที่ ทำด้วยความรู้สึกดีๆ ที่อยากเห็นความเติบโตงอกงามเกิดขึ้น บางคนขณะวาดไปก็จินตนาการถึงความผลิบานและเติบโตเต็มที่ในเวลาอีกไม่ช้านี้ แต่พอต้องส่งรูปไปให้เพื่อนด้านขวา หลายคนรู้สึกอึดอัดกังวลใจไม่อยากส่งให้เพื่อนวาดต่อ เพราะกลัวรูปจะออกมาไม่ดีตรงกับใจอยากให้เป็น แต่มีบางคนพิจารณาสักครู่ก็ปล่อยวางใจส่งรูปให้เพื่อนได้ บ้างก็เพราะเชื่อมั่นว่าคนอื่นก็คงตั้งใจวาดเต็มที่เช่นกัน บ้างก็มองว่าเราต้องตัดความกังวลใจออกไปก่อนเพื่อมุ่งทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด และพอถึงจังหวะที่ต้องวาดพายุโคลนเพื่อทำลายล้างต้นไม้ใหญ่ของเพื่อน หลายคนรู้สึกเศร้าแกมเสียดาย มีไม่น้อยที่ไม่พอใจคำสั่งนี้เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำลาย บางคนก็กังวลใจว่าเพื่อนจะเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียรูปอันงดงามนี้ไป บางคนก็รู้สึกรังเกียจการทำลายล้างเพราะมันทำให้ทุกสิ่งสูญสิ้นหรือเกิดการพลัดพราก
ส่วนในช่วงสุดท้ายที่ทุกคนได้รูปกลับคืนมาเพื่อวาดรูปการก่อกำเนิดสิ่งใหม่ บางคนรู้สึกเศร้าซึมต้องทำใจอยู่พักหนึ่งจึงจะเริ่มต้นวาดได้ บางคนกลับรู้สึกอิ่มเอมใจที่สิ่งใหม่ๆ อันแปลกตางดงามไปอีกแบบกำลังเกิดขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่สัมผัสได้ถึงความจริงที่ว่า ชีวิตต้องกล้าเผชิญกับความผันผวนปรวนแปรอย่างไม่คาดฝันและไม่รู้จบสิ้น เราไม่ควรเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์กับความสูญเสีย ความผิดพลาดล้มเหลว เพราะเรามิอาจขัดขืนความจริงของธรรมชาติข้อนี้ไปได้ แต่เราก็สามารถตั้งสติเพื่อยอมรับตามที่มันเป็น และสร้างพลังใจด้วยการทำสิ่งที่ควรทำตรงหน้าต่อไปให้ดีที่สุด โดยใช้ความผันผวนปรวนแปรของชีวิตมาเป็นบทเรียนให้กับการดำเนินชีวิตก้าวต่อไปว่า หากเราจะทำกิจสิ่งใดพึงสำเหนียกในใจอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งที่ทำล้วนมีความเปราะบาง ผันผวนปรวนแปรอยู่เสมอ เปรียบไปคล้ายดั่งเรากำลังก่อกองทรายริมชายหาดฉันนั้น และขณะที่ชีวิตกำลังพวยพุ่งสู่ความสำเร็จก็อย่าได้หลงยึดมั่นถือมั่นว่า มันจะเป็นอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดกาล รวมถึงขณะทำกิจสิ่งใดก็ไม่ควรสำคัญมั่นหมายว่า มันจะต้องออกมาสำเร็จสมบูรณ์อยู่ทุกคราวไป ขอเพียงตั้งใจทำไปอย่างสุดกำลังความสามารถหรือทำไปตามเหตุปัจจัยเท่าที่รู้ เสร็จแล้วก็ปล่อยวางใจลง ผลจะออกมาอย่างไรก็พร้อมเผชิญอย่างกล้าหาญ
เมื่อตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดเราจึงรู้สึกยึดมั่นถือมั่นในภาพวาดของเรา รวมไปถึงในชีวิตจริงอะไรที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่า มีตัวกูของกูแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ
หลายคนตอบอย่างใคร่ครวญว่า เพราะทุกสิ่งที่เราลงทุนลงแรงไปอย่างเต็มกำลังความสามารถก็มักจะตอกย้ำว่า นี่ผลงานของเรานะ นี่เงินหรือรางวัลชีวิตของเรานะ ซึ่งกว่าจะได้มายากลำบากแสนเข็ญเพียงใด บางคนมองเห็นแต่เพียงว่า งานหรือกิจกรรมที่ทำนั้นเป็นฝีมือตัวเองล้วนๆ จึงเกิดความยึดมั่นว่าเป็นผลงานของกู แต่มองข้ามความจริงไปว่า จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยอื่นๆอีกมากที่เป็นองค์ประกอบแห่งความสำเร็จนั้น แม้จะไม่มีผู้อื่นเข้ามาร่วมในขณะที่ทำอย่างเช่น ความคิดความสามารถอันสร้างสรรค์ของเราก็ล้วนก่อกำเนิดมาจากครูบาอาจารย์หรือมาจากสิ่งอื่นคนอื่น เราจะสำคัญตัวเองอย่างหยิ่งผยองว่า นั่นเป็นความสำเร็จที่มาจากตัวเองล้วนๆ ได้ละหรือ
บางคนแบ่งปันว่า การเห็นความเติบโตงอกงามที่กำลังดำเนินไปสู่ความสำเร็จสมบูรณ์มักทำให้รู้สึกชุ่มชื่นใจหรือภูมิใจ จึงตอกย้ำความรู้สึกว่าผลงานนี้ของกูนะ และยิ่งได้รับการยอมรับหรือคำชื่นชมสรรเสริญ เราก็จะถูกตอกย้ำว่ามีตัวกูที่เก่งกาจ สูงส่งไม่ธรรมดา รวมถึงเริ่มมองอย่างเปรียบเทียบว่าเหนือหรือด้อยกว่าคนอื่น ยิ่งสำเร็จก้าวหน้ามากเท่าใด ความรู้สึกว่ากูแน่ก็ยิ่งแน่นหนาขึ้นไปเท่านั้น แต่พอถึงคราวล้มเหลวหรือโดนสบประมาทเข้าหน่อย เราก็ออกอาการหวั่นไหวไม่มั่นคงภายในขึ้นมาทันที
ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกูของกูเกิดขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะว่าตอนที่เราสัมผัสรับรู้สิ่งใด เราไม่ได้ใช้สติและปัญญารับรู้ แต่สัมผัสรับรู้ด้วยความหลงว่า ทุกสิ่งจะต้องเป็นไปตามความอยากให้เป็นของเรา ดังนั้นขณะที่ชีวิตกำลังเผชิญสิ่งใดจึงเป็นการสัมผัสรับรู้ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความจริงแท้เกือบตลอดเวลา ซึ่งจะเกิดความยึดมั่นถือมั่นเข้มข้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งสติเพื่อยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทำสิ่งที่ควรทำตรงหน้าต่อไปให้ดีที่สุด
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นกระบวนการหรือปัจจัยภายในของเราที่มีเมล็ดพันธุ์แห่งความลุ่มหลงยึดมั่นเป็นพื้นอยู่แล้ว แต่ยังมีปัจจัยภายนอกอีกมากที่คอยกระตุ้นเร้าและช่วยตอกย้ำความยึดมั่นถือมั่นได้แก่ ระบบการศึกษาที่มุ่งสอนคนให้แข่งขันและมุ่งสำคัญตนว่าเก่งและยิ่งใหญ่ ระบบสื่อโฆษณาที่คอยกระตุ้นให้เราอยากได้อยากเป็น วัฒนธรรมหรือค่านิยมของสังคมที่มุ่งให้คนแข่งขันไต่เต้าเอาดี ซึ่งมาในรูปของวัฒนธรรมบริโภคนิยม ทั้งนี้รวมไปถึงลัทธิเศรษฐกิจทุนนิยมอันสุดโต่ง เป็นต้น
ปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมหาศาลที่คอยตอกย้ำความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นของคนให้เข้มข้นแน่นหนา สังคมจึงเกิดความขัดแย้งแก่งแย่งวุ่นวายไปทุกที่ ดังนั้นเราจึงควรสำเหนียกต่อความจริงของชีวิตแต่ละขณะ เพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดภายในและรู้เท่าทันกระแสเหตุปัจจัยภายนอก เพื่อที่จะมีท่าทีหรือการปฏิบัติต่อสิ่งเร้าภายนอกอย่างไม่ตกไปสู่บ่วงแห่งความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทุกชนิด