ทุนนิยมมีหลักการสำคัญ ๕ ประการคือ
ทุนนิยมมีทัศนะว่าความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ต้องส่งเสริมให้มากๆ เพื่อจะได้เกิดความเจริญ เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ริเริ่มให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตามแนวคิดของอเมริกาเมื่อปี ๒๕๐๔ จอมพลสฤษดิ์ พบว่าคำสอนของพุทธศาสนาที่เน้นเรื่องการสันโดษ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมาก จอมพลสฤษดิ์จึงมีคำสั่ง “ขอร้อง” พระทั่วประเทศว่าอย่าสอนเรื่องสันโดษ เพราะจะขัดขวางการเจริญเติบโตของประเทศ
ความคิดเช่นนี้ต่างจากพุทธศาสนาอย่างชัดเจน เพราะพุทธศาสนาเชื่อว่าแม้มนุษย์เรามีความเห็นแก่ตัว แต่เราไม่ควรกระตุ้นความโลภหรือกระตุ้นการแสวงหากำไรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะจะกลายเป็นโทษต่อสังคมในระยะยาว พุทธศาสนาจึงมุ่งลดความเห็นแก่ตัวให้เหลือน้อยที่สุดหรือควบคุมให้อยู่ในขอบเขต
ทำให้แทบทุกอย่างถูกแปรเป็นสินค้า จนแม้แต่ประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา มนุษย์ ก็กลายเป็นสินค้าที่ตีค่าเป็นตัวเงิน หรือเอามาซื้อขายได้
แต่พุทธศาสนาเห็นว่าเศรษฐกิจหรือเงินตรามิใช่เรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิต และไม่มองว่าจำเพาะสิ่งที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้เท่านั้นที่สำคัญ มีหลายสิ่งในชีวิตที่ตีค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ แต่มีความสำคัญมาก เช่น คุณธรรม ความศรัทธาในสิ่งดีงาม ความรัก ความเมตตา ความซื่อสัตย์
ทุนนิยมไม่สนับสนุนการผลิตเพื่อเอื้อเฟื้อเกื้อกูล หรือการพึ่งตนเอง ใครทำอะไรได้ ต้องเอาไปขาย ไม่ควรทำให้คนอื่นฟรีๆ หรือพึ่งตนเองจนไม่ซื้อจากใครเลย
แต่พุทธศาสนาเห็นว่าการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งการให้ทานแก่กัน ขณะเดียวกันก็เห็นว่าการพึ่งตนเองเป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสว่าตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แม้ว่าการพึ่งตนในที่นี้จะไม่ได้เจาะจงในเรื่องเศรษฐกิจก็ตาม
ไม่ว่าเสรีภาพในการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก การบริโภคและการซื้อขาย รวมถึงเสรีภาพในทรัพย์สินส่วนบุคคล โดยถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของเสรีภาพมนุษย์
พุทธศาสนาเห็นต่างจากทุนนิยม เพราะเชื่อว่าเสรีภาพที่แท้จริงเป็นเสรีภาพภายใน เป็นเสรีภาพในทางจิตใจมากกว่า ถ้าไร้เสรีภาพในทางจิตใจแล้วเราก็กลายเป็นทาสของเงิน และเป็นทุกข์เพราะวัตถุได้อย่างง่ายดาย
พุทธศาสนายอมรับความสุขจากการใช้ทรัพย์ รวมทั้งความสุขจากการไม่มีหนี้ แต่พุทธศาสนาเห็นว่ายังมีความสุขที่ลึกไปกว่านั้น เป็นความสุขที่นอกเหนือจากการมีทรัพย์หรืออาสมิส ได้แก่นิรามิสสุขคือสุขที่ไปพ้นจากวัตถุสิ่งเสพ
พุทธศาสนามองว่าความเจริญไม่ว่าของบุคคลและของประเทศมี ๔ มิติ ได้แก่ความเจริญทางกายหรือทางวัตถุ ความเจริญในเรื่องของความสัมพันธ์หรือความประพฤติ ความเจริญในทางจิต และความเจริญในทางปัญญา เมื่อเอากรอบนี้มาดูการพัฒนาในรอบหลายทศวรรษภายใต้ระบบทุนนิยม จะเห็นได้ว่ามีข้อบกพร่องมาก มองในแง่วัตถุหรือทางกายภาพอย่างเดียว จะเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมากขึ้น ความยากจนไม่ได้ลดลงเลยแม้จะอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ ตรงข้ามช่องว่างกลับถ่างกว้างขึ้น ไม่เฉพาะคนรวยกับคนจนในประเทศเดียวกันเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงช่องว่างระหว่างประเทศที่ร่ำรวยกับประเทศที่ยากจน ดังจะเห็นได้ว่า คนที่รวยที่สุดในโลก ๓ คนมีทรัพย์สินรวมกันแล้วมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีของประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ๔๘ ประเทศเสียอีก และถ้าเอาสินทรัพย์ของคนรวยที่สุดในโลก ๓๒ คนมารวมกันจะมีจำนวนมากกว่าจีดีพีของประเทศในเอเชียใต้ทั้งหมดรวมกัน จะเห็นได้ว่ายิ่งพัฒนามากขึ้น คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง และช่องว่างก็ถ่างกว้างขึ้น
ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาอาชญากรรม ครอบครัวร้าวฉาน ชุมชนเสื่อมโทรม รวมทั้งปัญหาทางจิตใจ จนมีการฆ่าตัวตาย หรือการเป็นโรคจิตกันเป็นจำนวนมาก
ทุนนิยมนั้นเหมือนกับเงิน คือเป็นข้ารับใช้ที่ดี แต่เป็นนายที่เลว ทุกวันนี้เราปล่อยให้ทุนนิยมขยายใหญ่โตจนกระทั่งมีอิทธิพลครอบงำทุกด้านของชีวิตและสังคม ไม่เว้นแม้แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัว กับเพื่อนฝูง หรือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายึดถือ สิ่งที่เราต้องคิดกันก็คือ ทำอย่างไรถึงจะควบคุมทุนนิยมไม่ให้มีอำนาจมากเกินไป
ถ้าไร้เสรีภาพในทางจิตใจ เราก็กลายเป็นทาสของเงิน และเป็นทุกข์เพราะวัตถุได้อย่างง่ายดาย
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยควบคุมทุนนิยมไม่ให้มีอำนาจมากเกินไปจนเห็นคนเป็นสินค้า หรือเกิดการเอารัดเอาเปรียบจนเกิดช่องว่างอย่างมากมายก็คือ การทำให้สังคมมีความเข้มแข็งจนสามารถทัดทานไม่ให้อำนาจทุนทำอะไรตามใจชอบได้ มีหลายวิธีที่ทำให้สังคมควบคุมทุนได้ เช่น การส่งเสริมคุณค่าทางสังคมให้สำคัญกว่าคุณค่าทางเศรษฐกิจ
คนสมัยนี้เวลาจะซื้ออะไร ก็จะสนใจแค่ว่ามันราคาเท่าไร ถูกหรือแพง นี่เป็นการคิดโดยคำนึงถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ไม่ได้ถามต่อไปว่ามันทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ผู้ผลิตเอาเปรียบคนงานหรือเอาเปรียบแรงงานเด็กหรือไม่ หากเราจะทัดทานทุนนิยม ก็ต้องไม่เอามูลค่าหรือคุณค่าทางเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่เอาคุณค่าทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก คือถึงแม้ราคาจะแพง แต่ถ้าเป็นสินค้าซึ่งส่งเสริมชุมชน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตลอดจนวัฒนธรรมประเพณี ไม่ใช้วิธีโฆษณาที่ดูถูกผู้หญิงหรือกระตุ้นให้คนเห็นแก่ตัว เราควรสนับสนุนสินค้าอย่างนั้น เป็นต้น ถ้าทุกคนมีเกณฑ์แบบนี้ ทุนนิยมจะไม่เลวร้ายเท่าปัจจุบัน
นอกจากการให้คุณค่าทางสังคมเป็นใหญ่เหนือคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ก็ควรสนับสนุนเครือข่ายชุมชนหรือประชาสังคมให้เข้มแข็ง เพื่อมีกำลังในการทัดทานอำนาจทุน ไม่ใช่ปล่อยให้มีการสร้างเขื่อนหรือโครงการใหญ่ๆ ตามใจชอบ โดยไม่สนใจว่าจะเกิดผลกระทบต่อสังคมและชุมชนอย่างไร การปล่อยให้นักการเมืองมาทำหน้าที่ทัดทานทุนนิยม เป็นเรื่องที่หวังได้ยาก จำเป็นที่เราจะต้องส่งเสริมกลุ่มต่างๆ ทางสังคมขึ้นมาให้เข้มแข็ง สนับสนุนกฎหมายกระจายอำนาจให้แก่ชุมชน เพื่อสามารถจัดการทรัพยากรท้องถิ่น ตลอดจนจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับท้องถิ่นได้ ขบวนการประชาสังคมปัจจุบันเริ่มจะก่อตัวขึ้น แต่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจัง
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ พุทธศาสนาจะต้องเป็นอิสระจากทุนนิยมให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นคำตอบทางจิตวิญญาณเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากบริโภคนิยมได้ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คนปัจจุบันเข้าหาบริโภคนิยม ไม่ใช่เพราะมันให้ความสะดวกสบายทางกายหรือความสนุกสนานเท่านั้น แต่เพราะมันตอบสนองความต้องการทางจิตใจ เช่นให้ความหมายแก่ชีวิต ทำให้ชีวิตไม่ว่างเปล่า
คนสมัยก่อนรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าหากได้ทำความดี เสียสละเพื่อศาสนาหรือประเทศชาติ แต่สมัยนี้ชีวิตจะมีคุณค่าหากได้สะพายกระเป๋าหลุยส์วิตตอง หรือสวมรองเท้าไนกี้ ในอเมริกาวัยรุ่นถึงกับฆ่าคนตายเพื่อจะได้ขโมยรองเท้าไนกี้ของเขามาใส่ จะเห็นได้ว่าชีวิตของผู้คนเดี๋ยวนี้ฝากไว้กับสินค้ามียี่ห้อพวกนี้ คำถามก็คือพุทธศาสนาจะช่วยให้ชีวิตเขามีคุณค่าได้หรือไม่ ถ้าพุทธศาสนาไม่สามารถทำได้ ผู้คนก็ต้องแห่ไปหาบริโภคนิยม นี้เป็นเรื่องท้าทายศาสนามาก
ต้องไม่ลืมว่าบริโภคนิยมตอนนี้เป็นศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะไปขั้วโลกเหนือ ไปป่าอเมซอน อยู่บนยอดเขาหิมาลัย บริโภคนิยมไปถึงหมดโดยผ่านดาวเทียม ทุกหนแห่งมีโค้กไปถึงหมด ไม่เว้นแม้แต่เชิงเขาเอเวอเรสต์ ขณะที่ศาสนาหลายศาสนายังไปไม่ถึง นี้คือสิ่งท้าทายพุทธศาสนา และควรที่ชาวพุทธทั้งหลายจะต้องช่วยกันนำพาพุทธศาสนาให้เป็นอิสระทางทุนนิยม รวมทั้งสามารถเป็นทางเลือกให้แก่ผู้คนเพื่อออกจากบริโภคนิยมได้อย่างแท้จริง