ภาพยนตร์จากฝั่งอังกฤษเมื่อหลายสิบปีก่อน เรื่อง sliding door นำเสนอเรื่องราวชีวิตคู่ขนานของหญิงสาวคนหนึ่ง เพียงช่วงประตูรถไฟใต้ดินปิด ระหว่างเธอที่เข้าประตูทัน กับเธอที่เข้าประตูไม่ทัน
เธอคนแรกกลับบ้านก่อนเวลาและพบความจริงว่า คนรักที่เธอเสียสละนั้นนอกใจเธอมาตลอด เธอจึงหันหลัง พึ่งพาตนเอง พบความเป็นอิสระ พบการงานและคนรักใหม่ที่รักเธออย่างจริงใจ
กับเธอคนที่สองที่กลับบ้านเลยเวลาและไม่รู้ความจริง เธอจึงอยู่ในวงจรที่ถูกหลอกลวง ทำงานหนักเพื่อบรรลุความฝันที่มีกับคนรัก กระทั่งเธอพบความจริงในท้ายที่สุด แต่กว่าจะถึงวันนั้นเธอก็ทรุดโทรม มีปัญหาสุขภาพกายและจิตใจ
‘ความจริง’ มีความสำคัญกับชีวิต เพราะช่วยปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความหลอกลวง ช่วยให้เรามีทางเลือกที่แท้จริง แต่การเผชิญหน้าความจริง นอกเหนือจากการมีตัวช่วยและการมีเหตุธรรมจัดสรร สิ่งสำคัญคือ การที่ตัวเราพึงดูแลให้ความรักกับตัวเอง ด้วยการสำรวจชีวิต จิตใจ สุข ทุกข์ของเราแต่ละวันว่าเป็นไปอย่างไร ตัวเรากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องการอะไร ความหมายชีวิตของเราคืออะไร และคำถามสำคัญคือ เราคือใคร นี่คือการงานสำคัญของชีวิต
หญิงสาวตัวเอกของเรื่อง โดยเฉพาะหญิงสาวคนที่สองคาดหวังว่า การเสียสละแรงกาย-ใจ รวมถึงอนาคต อิสรภาพและความฝันของตนเองเพื่อคนรักของเธอ จะนำมาซึ่งความสุขและความมีคุณค่าในท้ายที่สุด แต่เธอไม่ได้สำรวจตนเองว่าเธอเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เธอแทบไม่ได้ดูแลสุขภาพกายใจ ขณะที่คนรักของเธอก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งพา มีแต่ความฝันร่วมที่หลอกลวง
เราทุกคนปรารถนาความสุข แต่ความสุขก็มีระยะเวลาสั้นยาว
กรณี ‘ความสุขระยะสั้น’ คือ สุข-ทุกข์แต่ละขณะ และเหตุการณ์ในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อบวกลบแต่ละวันแล้วก็คือผลลัพธ์สะท้อนว่า ความสุขระยะสั้นนั้นเป็นสุขหรือทุกข์มากกว่า
กรณี ‘ความสุขระยะยาว’ คือ ความสุขที่มาจากความพึงพอใจในชีวิต การใช้ชีวิตโดยรวมของเราซึ่งเชื่อมโยงกับการมีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง การมีรายจ่ายกับสินค้าบริการที่จำเป็นและสนองความต้องการที่พอเพียง การมีสัมพันธภาพที่มีคุณภาพกับสังคมรอบตัว เหล่านี้คือ แนวทางประเมินความสุขระยะยาว
และ ‘ความสุขระยะยาวมาก’ คือ ความสุขจากการได้ดำเนินตามคุณค่าและความหมายของชีวิต ความสุขนี้อาจทำให้เราต้องเสียสละความสุขระยะสั้น เช่น นักเรียนเลือกที่จะเรียนรู้แทนการเที่ยวสนุก เพื่อมีอนาคตที่ดี ได้มีความสุขในระยะยาว ขณะเดียวกันหลายคนอาจจะเลือกทำงานที่มีรายได้น้อยหรืองานจิตอาสา แทนการมุ่งมั่นทำงานหนักหาเงิน เพื่อได้ความสุขระยะยาวมากจากการได้ดำเนินชีวิตที่มีคุณค่า มีความหมาย
สำรวจตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องการอะไร ความหมายชีวิตของเราคืออะไร และคำถามสำคัญคือ เราคือใคร
เราทุกคนล้วนมีชีวิตไม่ต่างจากหญิงสาวในเรื่อง ความแตกต่างอาจอยู่ที่การมีหรือไม่มีตัวช่วย ความสำคัญอยู่ตรงที่เราเลือกเผชิญชีวิตด้วยความจริงหรือไม่ บางครั้งการเผชิญความจริงก็เป็นเรื่องที่ต้องลงทุน ต้องอาศัยความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ
สุชาติ (นามสมมุติ) เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ คนรอบตัวมองว่าสุชาติน่าจะมีอนาคตที่ดีรอคอยอยู่ สุชาติเข้าทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่สิ่งที่สุชาติพบคือ เขาไม่มีความสุขในการทำงาน แต่ละวันผ่านพ้นไปด้วยความเครียด ความกังวล สุชาติยอมรับภายหลังว่า เขาไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจในสาขาที่เรียนนัก การสอบผ่านของเขามาจากการท่องจำ และอาศัยสามัญสำนึกมากกว่า
ด้วยความทุกข์และความเครียด ทำให้สุชาติตัดสินใจลาออกในที่สุด โดยเขามักมีคำกล่าวโทษต่อสภาพรอบตัว ตั้งแต่โรงเรียนมัธยม ค่านิยมสังคม และมหาวิทยาลัยว่า ไม่มีระบบสนับสนุนเรื่องการรู้จักและการเรียนรู้ตนเอง ทำให้เขาต้องมีชะตาชีวิตเช่นนี้
สุชาติใช้เวลาหลายปีกว่าจะพบว่า แท้จริงเรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของใคร การกล่าวโทษอาจช่วยระบายความคับข้อง ความโกรธ ความผิดหวังไปที่ใครบางคน แต่ก็เป็นการโยนความรับผิดชอบในชีวิตของตนเองขว้างทิ้งไปด้วย สุชาติพบว่าสิ่งสำคัญคือ การทบทวนเรียนรู้ความผิดพลาดเพื่อเป็นบทเรียน และดำเนินชีวิตไปข้างหน้าอย่างมีสติสัมปชัญญะและสติปัญญา สิ่งนี้ให้ประโยชน์มากกว่า ขณะที่ความผิดหวังกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วโดยไม่ปล่อยวาง คือการทำร้ายตนเองซ้ำเติม
หลังจากนั้น เขาจึงตัดสินใจทำหลายสิ่งหลายอย่างที่มาจากความรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น จนสามารถค้นพบอิสรภาพของตนเองในที่สุด
‘ความจริง’ ช่วยปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และช่วยให้เรามีทางเลือกที่แท้จริง
ณ จุดหักเหชีวิต เราต้องการการมีความพร้อม และความสามารถในการเข้าใจชีวิต โดยเป็นการเรียนรู้พร้อมกับการเติบโต ซึ่งหมายถึงการมีความเข้มแข็งกล้าหาญในการเผชิญความผิดพลาด ความล้มเหลว ความเจ็บปวด
หากเราไม่เตรียมพร้อมกับชีวิต ชีวิตก็จะมีบททดสอบเพื่อท้าทายเราอยู่เสมอ จนกว่าเราจะเรียนรู้และผ่านบททดสอบต่อๆ ไป