ในความรู้สึกของคนเรา ไม่มีอะไรที่จริงแท้และสำคัญเท่ากับ “ตัวกู” แต่ในทัศนะของพุทธศาสนา ตัวกูหรือตัวตนไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา และเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมามันถึงทำอะไรแปลกๆ ได้ อย่างบางคนจะรู้สึกว่ามี 2 คนอยู่ในตัวคนเดียวกัน หรือจะเรียกว่ามี 2 ตัวตนอยู่ในคนเดียวกันก็ได้ อันนี้เราอาจเคยได้ยินมาบ้าง เช่น ในยามปกติเขาอาจจะเป็นคนธรรมดา สุภาพเรียบร้อย แต่พอมีอะไรมากระทบ ก็จะกลายเป็นคนละคน ถ้ามองแบบชาวบ้านก็คือเหมือนผีเข้า จะกราดเกรี้ยวเอะอะโวยวายด่าทอ ที่เคยเรียบร้อยพูดกับพ่อแม่เพราะๆ ก็จะด่าทอพ่อแม่เสียๆ หายๆ ทำตัวเหมือนเป็นคนละคน เป็นคนละบุคลิก บางคนถึงกับตั้งชื่อให้กับตัวตนทั้ง 2 ตัว เหมือนเป็นคนละคนกัน
เวลาปกติ ก็เป็นคนเรียบร้อย พูดเสียงเบาๆ ไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง แต่พออีกตัวโผล่ขึ้นมา บุคลิกเปลี่ยนเลยนะ กลายเป็นคนกราดเกรี้ยว รุนแรง มั่นใจตัวเอง บางคนเวลาถูกสะกดจิตตัวตนที่ซ่อนอยู่ก็โผล่มา แต่ว่า 2 ตัวตนในคนเดียวกันยังถือว่าธรรมดานะ มีบางรายมีมากกว่า 10 ตัวตนในคนเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นเรื่องราวของผู้หญิงชาวอเมริกันชื่อแคเร็น อายุ 34 ปี เธอไปหาจิตแพทย์เพราะเครียดมากอยากฆ่าตัวตายตั้งแต่อายุ 17 ปี ตลอดเวลา 17 ปีที่หาหมอ ปรากฏว่าหมอพบความลึกลับของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่สนทนาพูดคุยกับเธอมาสิบกว่าปี ก็พบว่าเธอมีถึง 17 บุคลิกในคนเดียวกัน แล้วแต่ละบุคลิกแต่ละตัวตนนั้นก็มีชื่อต่างๆ กัน บางคนเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุ 7-8 ขวบ บางคนเป็นผู้หญิง บางคนเป็นผู้ชาย และยิ่งสืบสาวไปก็พบว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ก็เพราะเธอถูกพ่อทำมิดีมิร้ายจนมีลูก 2 คน ตัวแคเร็นเองจำไม่ได้ว่าพ่อทำอะไรเธอบ้างทั้งๆ ที่มีลูก 2 คนแล้ว มันเป็นวิธีการของจิต จิตมันซับซ้อนมาก อะไรที่มันไม่ชอบ มันก็ไม่ยอมรับ หรือทำเป็นลืมเลย และถ้ามันไม่ชอบตัวตนเดิม หรือมันทนอยู่กับตัวตนเดิมไม่ได้ มันก็หาตัวตนใหม่ขึ้นมาแทน เช่น เวลาแคเร็นถูกพ่อทำมิดีมิร้าย ตัวตนที่เป็นซิดนีย์ก็จะเข้ามาแทนที่ ทำให้แคเร็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน เพราะตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นแคเร็นแล้ว
กรณีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับบางคน เช่น บางคนเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจ เกลียดพ่อเกลียดแม่ที่บังคับตัวเอง แต่จะด่าพ่อด่าแม่ หรือจะเถียงพ่อเถียงแม่ก็ทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ หรือรู้สึกว่าไม่ดี จิตมันก็มีทางออกคือสร้างตัวตนใหม่ เป็นตัวตนที่ก้าวร้าวและกล้าทำอะไรก็ได้ พอตัวตนใหม่เกิดขึ้น ก็สามารถด่าพ่อด่าแม่ได้เต็มที่เลย ไม่รู้สึกผิด รู้สึกว่าได้ระบาย ได้ทำอะไรตามใจ พอทำไปสักพักก็กลับมาเป็นตัวตนเดิม กลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม
ทีนี้ก็มีคำถามว่า หลายตัวตนจะอยู่ในคนเดียวกันได้อย่างไร มันอยู่ได้ เพราะมันเป็นสมมติ มันเป็นการปรุงแต่ง ถ้าตัวตนมีอยู่จริง ก็ต้องมีตัวตนเดียว จะมีหลายตัวตนไม่ได้ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพราะมันเป็นสิ่งสมมติ สมมติขึ้นมาว่าเป็นแคเร็นบ้าง สมมติว่าเป็นซิดนีย์บ้าง สมมติว่าเป็นมายด์บ้าง สุดแท้แต่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แล้วเขาก็เชื่อจริงๆ นะ เวลาเป็นซิดนีย์ก็เชื่อว่าเป็นซิดนีย์จริงๆ แล้วก็ปรุงแต่งรายละเอียดขึ้นมาว่า ซิดนีย์อายุเท่าไหร่ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วตัวเองก็เชื่อตามนั้นจริงๆ ด้วย แต่แท้จริงแล้วนี่คือวิธีการที่จิตหลบหนีทุกข์ แต่เป็นการหนีทุกข์แบบปุถุชน ไม่ใช่เป็นการหนีทุกข์แบบคนที่เข้าใจโลก เพราะถ้าเข้าใจโลกจะรู้ว่า สุดท้ายแล้วมันไม่มีตัวตนอะไรเลยแม้แต่น้อย
ในทัศนะของพุทธศาสนา ตัวกูหรือตัวตนไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา และเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมามันถึงทำอะไรแปลกๆ ได้
ที่พูดไปแล้วเป็นตัวอย่างของคนซึ่งมีหลายตัวตน และแสดงตัวตนต่างๆ กันในต่างเวลา แต่มีบางคนที่มี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลย เล่าไว้หน่อยก็ดี เราจะได้รู้ว่าโรคทางจิตนี่มันมีอะไรแปลกๆ เยอะ มีคนหนึ่งเขามีปัญหาทางสมอง ปกติสมองทั้ง 2 ซีก คือซีกซ้ายกับซีกขวาจะเชื่อมกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แต่ว่าคนนี้มีปัญหาบางอย่าง จำเป็นต้องผ่าส่วนที่เชื่อมกับสมองสองซีก สมองซีกซ้ายกับซีกขวาก็เลยแยกขาดจากกัน จึงไม่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ทีนี้ก็มีปัญหาเกิดขึ้น เนื่องจากสมอง 2 ซีกทำงานไม่เหมือนกัน สมองซีกซ้ายจะเห็นภาพด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะเห็นภาพด้านซ้าย สำหรับคนๆ นี้ถ้าฉายภาพไก่บนจอ ถ้าภาพปรากฏด้านขวาของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะเห็น สมองซีกนี้ควบคุมความสามารถในการพูด มันก็จะบอกว่า เห็นไก่ แต่ถ้าฉายภาพมาที่จอด้านซ้ายของตัวเขา สมองซีกซ้ายจะไม่เห็น จึงบอกไม่ได้ว่ามีภาพอะไรอยู่บนจอ สมองซีกซ้ายมองไม่เห็นเลยนะ ตาซ้ายรับภาพได้ก็จริงแต่มองไม่เห็นอะไร แต่สมองซีกขวามองเห็น ถ้าฉายภาพบ้านไปที่จอซ้ายมือ สมองซีกขวาจะเห็น แต่พอถามว่าเห็นอะไร มันตอบไม่ได้ เพราะสมองซีกขวาพูดไม่ได้ การพูดคุยเป็นหน้าที่ของสมองซีกซ้าย
ทีนี้คนถามรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้เห็นด้วยสมองซีกขวา เขาก็บอกว่าถ้าพูดไม่ได้ ก็ให้เลือกของก็แล้วกัน ให้เลือกของเพื่อสื่อสารว่าเห็นอะไรบนจอด้านซ้าย เนื่องจากเขาเห็นรูปบ้าน เขาก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู สมองซีกขวามันพูดไม่ได้ก็จริง แต่มันบังคับมือซ้ายได้ สมองซีกขวานั้นควบคุมมือซ้าย มือซ้ายก็หยิบภาพบ้านมาให้ดู ก็เลยรู้ว่าคนนี้เห็นภาพทางด้านซ้ายมือด้วยสมองซีกขวา แต่สมองซีกซ้ายไม่เห็น งงไหม
แต่เรื่องนี้ยังมีงงมากกว่านี้ คนๆ นี้สมองซีกซ้ายของเขาเห็นภาพไก่ขวามือ แต่ไม่เห็นภาพบ้านที่อยู่จอซ้าย ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน แต่มันพูดไม่ได้ แต่สามารถหยิบภาพบ้านเพื่อบอกว่าฉันเห็นอะไร หยิบด้วยมือซ้าย เพราะสมองซีกขวาคุมอวัยวะด้านซ้าย คราวนี้เขาทดลองต่อไปด้วยการฉายภาพ 2 ภาพพร้อมกันเลย ภาพด้านขวาเป็นภาพไก่ ภาพด้านซ้ายเป็นภาพบ้าน แล้วเขาก็ให้มือซ้ายและมือขวาหยิบภาพหรือหยิบวัตถุที่บ่งบอกภาพนั้น สมองซีกซ้ายเห็นภาพไก่ จึงใช้มือขวาหยิบตัวรูปไก่ขึ้นมาอันนี้ถูก ส่วนสมองซีกขวาเห็นภาพบ้าน มันจึงใช้มือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา เพราะค้อนกับบ้านเกี่ยวข้องกัน ก็เป็นอันว่ามือขวาถือภาพไก่ มือซ้ายถือค้อน
คราวนี้คนทดลองถามว่าทำไมคุณหยิบ 2 อย่างนี้ขึ้นมา เขาถามก่อนว่า ทำไมถึงหยิบภาพไก่ สมองซีกซ้ายตอบว่าก็เพราะฉันเห็นภาพไก่ เขาถามต่อไปว่าแล้วทำไมคุณหยิบค้อนล่ะ ทีนี้สมองซีกซ้ายมีปัญหา เพราะมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมือซ้ายถึงไปหยิบค้อนนะ แต่ว่ามือซ้ายถูกสั่งโดยสมองซีกขวาซึ่งเห็นภาพบ้าน แต่สมองซีกขวาพูดไม่ได้ ส่วนสมองซีกซ้ายเห็นมือซ้ายถือค้อน มันไม่รู้ว่าทำไมก็เลยอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ก็ไก่มันอยู่ป่า จึงต้องทำกรงให้มัน ก็เลยต้องมีค้อน สมองซีกซ้ายมันพูดเดาสุ่มไปเลยนะ ฟังดูแล้วแปลกไหม มือซ้ายของเขาถือค้อน แต่เขาบอกไม่ได้ว่าถือค้อนทำไม
การทดลองนี้เขาต้องการชี้ให้เห็นว่า คนๆ นี้มีอากัปกิริยาเสมือนมี 2 คนในร่างเดียวกัน ร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกซ้าย อีกร่างหนึ่งอยู่ในสมองซีกขวา สมองซีกขวาสั่งให้มือซ้ายหยิบค้อน แต่สมองซีกซ้ายไม่รู้ว่าหยิบค้อนทำไม เพราะมันไม่เห็นภาพบ้าน มันก็เลยอธิบายไปน้ำขุ่นๆ ว่าเอาค้อนมาเพื่อที่จะทำกรงใส่ไก่
คำถามก็คือว่า ถ้าตัวตนมีจริง มันจะมี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกันได้อย่างไร เพราะว่าถ้ามีตัวตนจริงๆ ก็ต้องมีตัวตนเดียว แต่นี่มี 2 ตัวตนอยู่ในร่างเดียวกัน ตัวตนหนึ่งไม่รู้ว่าทำไมมือซ้ายหยิบค้อนขึ้นมา อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝรั่งเริ่มสงสัยว่า ตัวตนที่เขาคิดว่ามีจริงนั้น มันมีจริงแน่หรือเปล่า เพราะเจอเหตุการณ์แบบนี้มากๆ เข้า ก็ทำให้งงไปเหมือนกัน อันนี้เป็นเหตุผลว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ฝรั่งเริ่มสนใจพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาพูดไว้นานแล้วว่าตัวตนมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อปรุงแต่งแล้วมันจะมีกี่ตัวตนก็ปรุงได้ทั้งนั้น หรือมันจะมี 2 ตัวตนในเวลาเดียวกันเลยก็ทำได้ แต่ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องที่เขาอาศัยการทดลองเพื่อหาคำตอบเท่านั้น
แต่ในชีวิตจริงของคนเรา ก็พบได้ว่าความยึดมั่นสำคัญหมายว่าฉันเป็นนั่น เป็นนี่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาเราอยู่ที่นี่ เราก็เป็นนักปฏิบัติธรรมหรือเป็นลูกศิษย์ แต่เวลาไปเจอลูก ความเป็นแม่ก็เข้ามาแทนที่ เวลาไปเจอเจ้านาย ความเป็นแม่หายไป ความเป็นลูกน้องเข้ามาแทนที่ เวลาเจอฝรั่ง ก็เกิดความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย แต่พอเจอคนอีสาน ความรู้สึกว่าฉันเป็นคนกรุงเทพฯ ก็เกิดขึ้น ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามสถานการณ์หรือเงื่อนไขแวดล้อม ความรู้สึกว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่ก็ถือว่าเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เป็นความจริง ท่านเรียกว่าเป็น อัสมิมานะ ดังนั้นเราจึงเป็นอะไรได้หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันหรือในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
ถ้าเราไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็จะยึดติดถือมั่น แล้วเราก็จะเป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ เป็นแม่ก็ทุกข์เพราะความเป็นแม่ เป็นนักปฏิบัติก็ทุกข์เพราะความเป็นนักปฏิบัติ เป็นลูกน้องก็ทุกข์เพราะความเป็นลูกน้อง เป็นเจ้านายก็ทุกข์เพราะความเป็นเจ้านาย นั่นเป็นเพราะจิตเรามีอุปาทาน มีกิเลสแฝงอยู่ว่า คนเป็นแม่ก็ต้องได้รับความเคารพจากลูก ถ้าลูกไม่เคารพแม่ก็ทุกข์ นักปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนดีเรียบร้อย เป็นลูกน้องก็ต้องการความยกย่องจากเจ้านาย แต่เป็นเจ้านายก็ต้องการความภักดีจากลูกน้อง แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นก็ทุกข์ และถ้าแบกความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็จะเป็นทุกข์สารพัด
ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้ว่านี้คือสมมติ เกิดจากการปรุงแต่ง รู้แล้วก็อย่าไปหลงเพลินกับมัน เพราะว่ามันทำให้เราทุกข์ได้ ทั้งหมดนี้ก็ต้องอาศัยความรู้สึกตัวเป็นหลัก เราจะได้ไม่เพลินในความหลง เมื่อมีความรู้สึกตัวจะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ทั้งสิ้น มีแต่ความรู้สึกตัว แต่ความรู้สึกตัวนี้ก็ต้องทำให้เกิดขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเกิดขึ้นไม่ต่อเนื่องแล้วความเป็นตัวกูก็จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็ว่างจากตัวตน เป็นจิตว่างได้ จิตว่างคือว่างจากตัวตน ว่างจากความคิดเห็นว่ามีตัวตน ไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไรเลย