พุทธศาสนากับทางออกจากบริโภคนิยม

พระไพศาล วิสาโล 17 ธันวาคม 2006

บริโภคนิยมเป็นอุดมการณ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน ชนิดที่สามารถแทรกซึมไปในวิถีชีวิตของคนทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกผิวสี และทุกระบอบการเมือง อย่างไม่มีอุดมการณ์ใดจะเทียบเท่าได้  การที่บริโภคนิยมแพร่หลายไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงเพราะมันให้ความสะดวกสบายทางกายและปรนเปรอประสาททั้งห้าเท่านั้น  หากยังเป็นเพราะผู้คนเชื่อว่ามันสามารถตอบสนองความต้องการทางจิตใจของเขาได้  นั่นคือสร้างความมั่นคงให้แก่จิตใจ  บริโภคนิยมนั้นสัญญาว่าจะให้ความมั่นคงแก่จิตใจหลายระดับ

ระดับพื้นๆ ก็คือ การมีวัตถุที่ช่วยเป็นหลักประกันให้แก่ชีวิต ทำให้รู้สึกมั่นใจในการดำเนินชีวิต  เช่น มั่นใจในตนเองมากขึ้นเมื่อได้ใส่นาฬิกาโรเล็กซ์ สวมเสื้อเวอร์ซาเช่ หรือขับรถเบนซ์  ระดับต่อมาก็คือ ทำให้ชีวิตมีคุณค่าและจุดมุ่งหมาย  คนเราย่อมรู้สึกไร้ค่า เคว้งคว้าง หากไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต  บริโภคนิยมก้าวมาทำหน้าที่นี้ โดยทำให้ผู้คนถือเอาเงินและวัตถุเป็นจุดหมายของชีวิต  เช่น ชีวิตนี้จะต้องรวยให้ได้  เมื่อเรียนจบจะต้องออกรถคันใหม่ และมีบ้านของตัวเองเมื่ออายุครบ ๓๐ ปี เป็นต้น  ความมั่นคงทางจิตใจในระดับที่ลึกลงไป ก็คือการมีตัวตนใหม่ที่พึงปรารถนา  มนุษย์ทุกคนย่อมถูกผลักดันด้วยภวตัณหา คือปรารถนาภพใหม่หรือตัวตนที่พึงปรารถนา  บริโภคนิยมสนองความต้องการดังกล่าวด้วยการทำให้เชื่อว่า เราสามารถมีตัวตนใหม่ที่พึงปรารถนาได้โดยเพียงแต่เลือกบริโภคให้ถูกเท่านั้น ซึ่งง่ายกว่าการลงแรงฝึกหัดขัดเกลาตน หรือปฏิบัติธรรมตามแนวทางศาสนา

ความมั่นคงในจิตใจระดับที่ลึกที่สุดก็คือ ความต้องการมีตัวตนที่มั่นคงและยั่งยืน  ในอดีตความเชื่อเรื่องชาติหน้าหรือการไปอยู่กับพระเจ้าหลังตายแล้ว สามารถสนองความต้องการดังกล่าวได้  และดังนั้นจึงทำให้คนไม่กลัวตายเพราะรู้ว่าตายแล้วก็ยังมีตัวตนสืบเนื่อง  แม้ต่อมาผู้คนจะไม่เชื่อว่ามีชาติหน้าหรือพระเจ้า แต่ลัทธิชาตินิยมก็มาทำหน้าที่นี้แทน คือทำให้เราเชื่อว่า แม้จะตายไป แต่ตัวตนของเรายังไม่ขาดสูญ เพราะมีประเทศชาติมาทำหน้าที่สืบต่อตัวตนของเรา  ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงยอมตายเพื่อประเทศชาติได้  การมีอนุสาวรีย์ให้แก่คนที่ตายเพื่อชาติ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ตัวตายแต่ชื่อยัง”  ชื่อเสียงจึงเป็นเสมือนตัวแทนของตัวตนที่สืบเนื่องต่อไปแม้ชีวิตจะหาไม่  แต่เมื่อความเชื่อดังกล่าวเสื่อมคลายลง  บริโภคนิยมก็เข้ามาแทนที่ ด้วยการทำให้เราเชื่อว่าตัวตนจะมั่นคงและสืบเนื่องได้ หากเอาตัวตนไปผูกติดกับวัตถุ เพราะวัตถุมีลักษณะอาการที่มั่นคงและยั่งยืน  ยิ่งมีคฤหาสน์ ทรัพย์สินมหาศาล ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวตนมั่นคงยิ่งขึ้น

ความต้องการดังกล่าวเป็นความปรารถนาส่วนลึก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นความต้องการทางจิตวิญญาณ  ศาสนาทุกศาสนาทำหน้าที่นี้มาตลอด โดยเฉพาะการสร้างความมั่นคงให้แก่จิตใจ  เริ่มจากการนับถือพระเจ้าหรือรับเอาศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ  ต่อมาก็ให้ทำความดี สร้างบุญกุศล เพื่อเกิดความมั่นใจว่าจะแคล้วคลาดจากอันตราย  ขั้นต่อมาก็คือการมีสวรรค์ พระเจ้า หรือนิพพานเป็นจุดหมายชีวิต  รวมทั้งการฝึกหัดขัดเกลาหรือปฏิบัติธรรมเพื่อยกระดับตัวตนให้สูงขึ้น  ยิ่งพุทธศาสนาด้วยแล้ว ก้าวไปถึงขั้นที่พ้นจากเรื่องตัวตน เพราะตัวตนนั้นแท้จริงหามีไม่  ผู้ที่เข้าถึงความจริงขั้นสูงสุด ย่อมหมดสิ้นความปรารถนาที่จะมีตัวตนที่มั่นคงและยั่งยืนอีกต่อไป

การที่บริโภคนิยมแพร่หลายอย่างกว้างขวาง อาจได้กล่าวได้ว่าเป็นเพราะมันเข้ามาทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ แทนศาสนาต่างๆ ที่เคยมีบทบาทในอดีต  รวมทั้งพุทธศาสนาในปัจจุบัน  มองในแง่นี้บริโภคนิยมก็คือศาสนาอย่างหนึ่งนั่นเอง ซึ่งมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างคล้ายศาสนาทั้งหลาย  เช่น มีพิธีกรรม (เที่ยวห้างทุกวันอาทิตย์ ซื้อของขวัญวันปีใหม่)  มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เสื้อผ้าที่มีลายเซ็นดารา หรือของใช้ของนักร้องดัง)  มีประสบการณ์ทางศาสนา ที่ทำให้ลืมตัวตน (โดยเฉพาะเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนในงานคอนเสิร์ตของนักร้องยอดนิยม)  อย่างไรก็ตามถึงที่สุดแล้วมันก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการดังกล่าวได้อย่างแท้จริง เป็นเพียงบำบัดความต้องการได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  แม้กระนั้นวิธีการที่ง่าย สะดวกสบาย และถูกกับจริตของผู้คนก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนทั้งโลกลุ่มหลงศาสนานี้

พุทธศาสนาจะดึงผู้คนออกจากบริโภคนิยมได้ ก็ต่อเมื่อสามารถทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณของผู้คนได้  หรือทำให้ผู้คนเชื่อมั่นว่าพุทธศาสนาเป็นทางเลือกที่ดีกว่าบริโภคนิยมในเรื่องนี้  อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวเท่าที่ควร  เพราะคำสอนของพุทธศาสนาที่เผยแพร่ในปัจจุบันนอกจากจะถูกปฏิรูปให้เป็นวิทยาศาสตร์ จนละเลยมิติด้านจิตวิญญาณ โดยเฉพาะในระดับปรมัตถธรรมแล้ว  ยังเดินตามบริโภคนิยมด้วยการเน้นเรื่องวัตถุ  เช่น การแข่งกันสร้างถาวรวัตถุเพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาของวัดวาอารามต่างๆ  หรือแข่งกันสร้างวัตถุมงคลเพื่อตอบสนองความอยากมั่งมีเป็นเศรษฐี  รวมทั้งสอนให้คนสนใจแต่ชีวิตที่ร่ำรวย  ขณะที่พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นตัวอย่างความเรียบง่าย สันโดษ ก็มีน้อยลง  จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถูกครอบงำด้วยบริโภคนิยมไม่ต่างจากฆราวาส

บริโภคนิยมได้เข้ามาทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณ แทนศาสนาต่างๆ ที่เคยมีบทบาทในอดีต

พุทธศาสนาจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าบริโภคนิยมได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการที่สถาบันสงฆ์หลุดพ้นจากการครอบงำของบริโภคนิยม  แทนที่จะเน้นการสร้างถาวรวัตถุ ควรให้ความสำคัญมากขึ้นกับการสร้างคน โดยเริ่มต้นจากภิกษุ สามเณร ให้เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งโดยปริยัติศึกษาและปฏิบัติศึกษา  สมาธิภาวนาที่ถูกละเลยมานาน ควรรื้อฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ให้สมสมัย เพื่อให้ภิกษุสามเณรมีความสุขกับเนกขัมมปฏิปทา และเจริญมั่นคงในชีวิตพรหมจรรย์  การปกครองคณะสงฆ์จะต้องเอื้อต่อการจัดวางการศึกษาตามนัยนี้ด้วย  มิใช่สนับสนุนพระสงฆ์ที่มีผลงานด้านก่อสร้าง หรือมุ่งใช้อำนาจในการควบคุมพระภิกษุสงฆ์อย่างเดียว

ขณะเดียวกันสถาบันสงฆ์ก็ควรเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือชุมชน  โดยเฉพาะการร่วมกับชุมชนแก้ไขปัญหาศีลธรรมที่กำลังกลายเป็นวิกฤตทั่วประเทศ  บทบาทดังกล่าวจะช่วยฟื้นพลังทางศีลธรรมของพระสงฆ์ให้กลับคืนมา จนสามารถเป็นแรงบันดาลใจในทางคุณงามความดี  ยิ่งพระสงฆ์มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เปี่ยมด้วยเมตตากรุณา และมีความสุขกับชีวิตพรหมจรรย์ ก็ยิ่งจะทำให้ท่านเป็นพลังในทางศาสนธรรม  ที่แม้จะเพียงแค่อยู่เฉยๆ ก็สามารถเป็นแบบอย่างที่ชักนำให้ผู้คนตระหนักถึงคุณค่าของความสุขภายใน และเห็นถึงข้อจำกัดหรือความตื้นเขินของความสุขจากวัตถุหรืออามิสสุขมากขึ้น

พลังในทางศาสนธรรมดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้น หากท่านสามารถนำสมาธิภาวนาไปให้ผู้คนได้รู้จักและสัมผัสถึงอานิสงส์ในทางความสงบ  ความสงบใจจากสมาธิภาวนาจะช่วยระงับอาการโหยหาความสุขจากวัตถุ และตอบสนองความต้องการในส่วนลึกของจิตใจ  ชีวิตที่เข้าถึงความสุขจากภายในและการได้ทำความดี จะช่วยให้ผู้คนตระหนักว่าจุดหมายของชีวิตที่ดีงามนั้น คือ “สงบเย็นและเป็นประโยชน์” หาใช่การสั่งสมวัตถุและสิ่งเสพไม่  ความสุขดังกล่าวยังทำให้จิตใจมีความมั่นคงยิ่งกว่าเดิม  ยิ่งสมาธิภาวนานั้นนำไปสู่ปัญญา คือความเข้าใจในสัจธรรมของโลก  จิตใจไม่หวั่นไหวหวาดกลัวต่อความผันผวนปรวนแปรหรือความพลัดพรากสูญเสีย เป็นความมั่นคงที่ไม่ต้องอิงอาศัยวัตถุสิ่งเสพหรือทรัพย์สมบัติอีกต่อไป

ถึงที่สุดแล้วปัญญาจากสมาธิภาวนาในพุทธศาสนา สามารถจะทำให้บุคคลก้าวข้ามปัญหาตัวตนไปได้  ความต้องการตัวตนที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งคอยรบกวนจิตใจอยู่เสมอ และผลักดันให้เอาใจไปอิงแอบวัตถุ ด้วยความสำคัญว่าเป็น “ตัวกู ของกู” ก็จะลดน้อยถอยลง  เพราะตระหนักดีว่า นั่นเป็นการปรุงแต่งของจิต  ตัวกู ของกู หรือสิ่งที่เรียกว่า ตัวตน นั้นแท้จริงหามีไม่  ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวตนให้ยึดถือได้  การประจักษ์ชัดซึ่งความจริงดังกล่าว ทำให้หลุดพ้นจากเรื่องตัวตน  บังเกิดความอิสระอย่างแท้จริง

นี้คือคำตอบที่พุทธศาสนาสามารถให้แก่ผู้คนเพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณอย่างถึงที่สุด  เป็นกุญแจที่สามารถไขไปสู่ความเป็นอิสระจากบริโภคนิยมได้  อย่างไรก็ตามศักยภาพดังกล่าวของพุทธศาสนาจะปรากฏเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อมีการปฏิรูปพุทธศาสนาอย่างจริงจัง โดยไม่ควรจำกัดที่สถาบันสงฆ์เท่านั้น  แม้ฝ่ายฆราวาสก็ควรได้รับการปฏิรูปเช่นกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในทางพุทธศาสนา และนำพุทธธรรมมาชี้นำกำกับชีวิตได้  รวมทั้งเป็นเข็มทิศในการช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา