เมื่อวันที่ ๑-๘ ธันวาคมที่ผ่านมา คณะสงฆ์บนเทือกเขาภูโค้ง จังหวัดชัยภูมิ และองค์กรอีกมากมายได้จัด “ธรรมยาตราเพื่อชีวิตและธรรมชาติลุ่มน้ำละปะทาว” ขึ้น งานนี้เป็นงานประจำปีของภูโค้งก็ว่าได้ เพราะจัดติดต่อมาทุกปีนับแต่ปี ๒๕๔๓ ครั้งนี้มีคำขวัญว่า “เฉลิมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”
ธรรมยาตราดังกล่าวจัดเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนบนหลังเขาตระหนักถึงความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปในตัว คือไม่เพียงมุ่งฟื้นฟูธรรมชาติเท่านั้น หากยังฟื้นฟูธรรมะในใจไปพร้อมกันด้วย เพราะธรรมะกับธรรมชาตินั้นแยกจากกันไม่ออก
หลายคนได้พบว่าธรรมยาตราไม่เพียงช่วยให้ปอดและหัวใจแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยขยายใจให้ใหญ่ขึ้น คือ นอกจากจะกล้าเอาชนะอุปสรรค ไม่กลัวความยากลำบากแล้ว ยังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง ใจยิ่งกว้างมากเท่าไร ตัวตนก็ยิ่งหดแคบลงมากเท่านั้น ขณะเดียวกันหากมีสติตามรู้ขณะที่เดิน ก็จะช่วยให้ใจมีความลุ่มลึกขึ้นคือ รู้ความจริงเกี่ยวกับจิตใจของตนเองมากขึ้น เห็นว่าสุขหรือทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ จิตใจที่หยั่งลึกย่อมพบความสุขจากภายใน ซึ่งช่วยหล่อเลี้ยงใจให้มีความพากเพียรพยายาม เดินแม้เหนื่อยกาย แต่ใจเป็นสุข แม้จะประสบทุกข์ ก็ยังพบความสุขที่ใจ
การเดินกลางแดดระยะทางร่วม ๑๑๐ กิโลเมตร ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงแม้อากาศจะร้อน ทางจะไกล ผู้เดินก็ได้รับคำแนะนำว่า อย่าลืมเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่สองข้างทางหรือที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เช่น ฟ้าใส เมฆสวย รอยยิ้มของเด็กน้อย หรือดอกไม้ที่บานสดใส หากใจมัวแต่หงุดหงิด บ่นว่าดินฟ้าอากาศและแดดที่ร้อนระอุ นึกตำหนิใครต่อใครที่อยู่รอบข้าง หรือเฝ้าคำนึงว่าเมื่อไหร่จะถึง ใจจะปิดรับสิ่งงดงามที่ผัดเวียนเข้ามา แม้กระทั่งสายลมเย็นที่พัดผ่านมากระทบกาย ก็ไม่รับรู้ว่ามันให้ความสุขเพียงใด แต่ถ้าใจเปิดกว้าง ไม่จมอยู่กับความทุกข์ ก็จะสัมผัสได้ทันทีถึงความสุขที่มาทักทายผ่านสายลม
ในเมื่อเหนื่อยกายแล้ว จะซ้ำเติมตัวเองด้วยการหมกมุ่นในอารมณ์ที่เป็นลบไปทำไม การทำเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ตัวเองเป็นทุกข์มากขึ้น หากจะทุกข์ ก็ขอให้ทุกข์อย่างเดียวคือทุกข์กาย แต่ใจเป็นปกติ หรือดียิ่งกว่านั้นก็คือจิตใจเป็นสุข เพราะมีสติและสมาธิกับการเดิน รู้ทันความหงุดหงิดที่ผ่านเข้ามา แล้วปล่อยให้มันผ่านเลยไป แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันจิตใจของตน ก็จะเก็บกักอารมณ์นั้นไว้ให้เผาลนตนเอง แดดเผากายก็ไม่ทำให้ทุกข์มากเท่ากับโทสะที่เผาลนจิตใจ
ประสบการณ์ที่หลายคนพบจากธรรมยาตราก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ร่มเงาของต้นไม้จะกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายขึ้นมาทันที เราจะเห็นคุณค่าของต้นไม้ และอยากขอบคุณต้นไม้ ความรู้สึกแบบนี้ยากที่จะเกิดขึ้นได้เวลานั่งรถ ในทำนองเดียวกัน เราจะรักสายลมมาก เพราะเพียงแค่สายลมที่พัดผ่าน ก็ให้ความสุขอย่างมาก เป็นความสุขอย่างง่ายๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินเลย หลายคนที่เดินธรรมยาตราจะพบว่า ความสุขนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยากก็เพราะใจของเราเอง
จะว่าไปแล้วศิลปะการเดินธรรมยาตราก็เป็นอันเดียวกับศิลปะการดำเนินชีวิต ถ้าเดินกลางแดดด้วยใจที่เป็นสุขได้ เราก็สามารถทำงานอย่างเป็นสุข เผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากโดยใจไม่เป็นทุกข์ ที่จริงเราควรทำให้การดำเนินชีวิตของเราเป็นประหนึ่งธรรมยาตรา ที่เป็นไปเพื่อธรรม โดยธรรม และในอารักขาแห่งธรรม กล่าวคือดำเนินชีวิตอย่างมีสติ มีความพากเพียรพยายาม รู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองเห็นธรรมจากทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น จนสามารถค้นพบความสุขจากภายใน หล่อเลี้ยงใจให้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่นและอุทิศตนเพื่อส่วนรวมอย่างไม่รู้จักท้อ
อ่านจดหมายข่าวพุทธิกาฉบับอื่นๆ ได้ ที่นี่