“เข้าพรรษา” มิใช่เป็นเทศกาลสำหรับบรรพชิตเท่านั้น หากยังมีความสำคัญสำหรับคฤหัสถ์ด้วย เพราะเป็นเทศกาลสำหรับการฝึกฝนพัฒนาตนโดยเฉพาะ สำหรับภิกษุสามเณรการอยู่ประจำวัดตลอดสามเดือนหมายถึงโอกาสสำหรับการศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง นี้คือเหตุผลที่ญาติโยมนิยมให้ลูกหลานมาอุปสมบทในช่วงนี้ โดยถือว่าการบวชจน “ได้พรรษา” นั้นมีอานิสงส์มาก ขณะเดียวกันอุบาสกอุบาสิกาก็นิยมมาจำศีลที่วัด โดยสมาทานศีลอุโบสถหรือศีล ๘ กันเป็นกลุ่ม บ้างก็มาจำศีลตลอดทั้งพรรษาเลยทีเดียว ส่วนผู้ที่มีกิจธุระ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็ตั้งใจสมาทานศีล ๕ ไม่ให้บกพร่อง ขณะเดียวกันก็มาบำเพ็ญทานในวันพระ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้ฟังธรรมจากพระภิกษุสงฆ์ด้วย
ประเพณีดังกล่าวสืบทอดกันมาช้านาน จนเพิ่งแปรเปลี่ยนไปเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง อันเนื่องมาจากช่องว่างระหว่างฆราวาสและพระสงฆ์ที่ถ่างกว้างขึ้น แม้กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสำคัญของเทศกาลนี้ลดน้อยถอยลงไป ทั้งนี้เพราะมนุษย์นั้นจะประเสริฐได้ก็เพราะได้รับการฝึกฝน และการฝึกฝนที่สำคัญก็คือการฝึกฝนในทางพฤติกรรม (หรือศีล) ควบคู่ไปกับการพัฒนาจิตและปัญญา การฝึกฝนดังกล่าวย่อมนำไปสู่ชีวิตที่ดีงาม จะว่าไปแล้วสิ่งที่ชาวพุทธเรียกว่า “บุญ” นั้น มิใช่อะไรอื่น หากคือการกระทำเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนตามนัยดังกล่าวนี้เอง เห็นได้จากบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการที่พระอรรถกถาจารย์ได้จำแนกเอาไว้ นับตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา ไปจนถึงทิฏฐุชุกัมม์ (หรือการทำความเห็นให้ตรง) นอกจากนั้นความสุข ความโปร่งโล่งเบาสบาย และความสงบเย็นอันเป็นผลจากการฝึกฝนตนหรือการทำความดีดังกล่าว ก็เรียกว่า “บุญ” ด้วยเช่นกัน
เนื่องจากบุญหรือการฝึกฝนพัฒนาตน มีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตของเรานี้เอง เทศกาลเข้าพรรษาจึงมีความหมายอย่างมากสำหรับชาวพุทธ จริงอยู่การฝึกฝนพัฒนาตนนั้นเป็นสิ่งที่เราควรทำตลอดเวลา แต่การทำความดีคนเดียวนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะต้องทวนกระแสกิเลส แต่หากมีคนอื่นร่วมทำด้วย เราก็จะมีกำลังใจและแรงจูงใจเพิ่มขึ้น ซึ่งเอื้อให้ทำความดีดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง (ลองสังเกตดูก็ได้ว่าเวลาเราทำสมาธิคนเดียว มักทำไม่ได้นาน แต่หากทำกันเป็นหมู่คณะ จะทำได้นาน บางครั้งยังรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แถมจิตสงบได้เร็วกว่าเดิมด้วย) ด้วยเหตุนี้มนุษย์เราจึงต้องการเทศกาลแห่งการทำความดี เทศกาลเข้าพรรษามีความสำคัญกับเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธก็เพราะเหตุผลดังกล่าว
แม้วิถีชีวิตสังคมสมัยใหม่ไม่เอื้อให้ผู้คนจำนวนมากทำบุญตามประเพณีโดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง เช่น ไม่สามารถจำศีลที่วัด หรือไปฟังธรรมในวันพระได้ แต่ถ้าจับสารัตถะของเทศกาลเข้าพรรษาได้ เราก็สามารถประยุกต์ประเพณีดังกล่าวให้เกิดความเจริญงอกงามแก่ชีวิตได้ โดยเฉพาะการพัฒนาตนให้เป็นอิสระจากกามสุข ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการถือศีล ๘ อันเป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ดังจะเห็นได้ว่าศีลที่เพิ่มจากศีล ๕ นั้นล้วนเกี่ยวกับการฝึกฝนตนให้ลดละจากความยึดติดในสิ่งเสพที่น่าเพลิดเพลินยินดี ไม่ว่าทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย เช่น แทนที่จะมัวเพลิดเพลินในอาหาร ก็งดอาหารในเวลาวิกาลเสียบ้าง แทนที่จะเพลิดเพลินกับการขับร้อง ฟังเพลง เต้นรำ ดูความบันเทิง หลงใหลในกลิ่นหอม หรือติดยึดในเพศรส ก็ให้ลดละตลอดสามเดือน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี
กามคุณหรือรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกายอันน่าพึงพอใจนั้นให้ความสุขแก่เราก็จริงอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยทุกข์ เพียงแค่นึกอยากจะเสพ ก็ทำให้ใจร้อนรุ่ม กว่าจะได้มาก็ต้องดิ้นรนแข่งขันกับผู้อื่น ครั้นได้มาก็ต้องคอยหวงแหนรักษา แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด มันก็ไม่สามารถอยู่กับเราไปได้ตลอด หากมันไม่พรากจากเรา เราเองก็ต้องพรากจากมัน ยิ่งไปกว่านั้นรสชาติความเอร็ดอร่อยหรือความสุขจากกามคุณ ก็ไม่เคยยั่งยืนเลย อาหารที่อร่อย หากกินบ่อยๆ ความอร่อยก็กลายเป็นความจำเจ เพลงที่ไพเราะ หากฟังทุกวัน ก็น่าเบื่อ ความแปรเปลี่ยนดังกล่าวผลักดันให้เราต้องดิ้นรนหารสชาติหรือสิ่งเสพใหม่ๆ ไม่สิ้นสุด แม้แต่คู่ครองหรือคู่นอน ก็ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวเช่นกัน ตราบใดที่เรายังยึดติดกับกามคุณ ก็ไม่ต่างจากคนวิ่งหนีเงา ยากที่จะมีความสุขได้อย่างแท้จริง เพราะไม่เคยหยุดดิ้นรนไขว่คว้าได้เสียที
ความสุขที่อยู่เหนือกามคุณนั้นมีอยู่ แต่เราจะสัมผัสความสุขดังกล่าวได้ต่อเมื่อเรารู้จัก “เว้นวรรค” จากกามสุขบ้าง เพราะถ้าใจยังวุ่นกับการเสพกามสุข ความสุขที่ประณีตก็ยากจะแทรกเข้ามาให้เราได้ประสบสัมผัส และดังนั้นจึงหมดโอกาสที่จะได้พบกับความสงบเย็นและเบาสบาย การถือศีล ๘ โดยเนื้อแท้ก็คือการเปิดโอกาสให้จิตใจได้สัมผัสกับความสุขที่ไม่อิงวัตถุ เป็นความสุขที่เกิดจากชีวิตที่เรียบง่าย และเอื้อให้ “ชีวิตพอเพียง” เปี่ยมไปด้วยความสุข จริงอยู่ตอนสมาทานศีลใหม่ๆ อาจจะไม่สุขสบายเท่าใดนัก นี้เป็นธรรมดาของการเลิกละสิ่งเสพติดทุกประเภท คนที่เลิกบุหรี่หรือสุรา แรกๆ ก็ย่อมรู้สึกกระสับกระส่าย แต่ไม่นานจะรู้สึกถึงความโปร่งโล่งเบาสบาย
ความสุขที่อยู่เหนือกามคุณนั้นมีอยู่ แต่เราจะสัมผัสความสุขดังกล่าวได้ต่อเมื่อรู้จัก “เว้นวรรค” จากกามสุขบ้าง
สำหรับคนที่ยังพอใจกับกามสุข กลัวชีวิตขาดรสชาติไป อย่างน้อยเทศกาลเข้าพรรษาก็น่าเป็นโอกาสให้ลดละสิ่งที่กำลังลุ่มหลงมัวเมา ซึ่งกำลังทำชีวิตให้ตกต่ำ สำหรับหลายคน สิ่งนั้นได้แก่บุหรี่ สุรา การพนัน ยาเสพติด แต่สำหรับคนจำนวนไม่น้อย สิ่งที่กำลังลุ่มหลงอยู่ อาจได้แก่ การเที่ยวห้าง การเล่นเกมออนไลน์ หรือการคุยโทรศัพท์มือถือ จะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าอบายมุขสมัยใหม่ก็ได้ สำหรับคนเหล่านี้การฝึกฝนพัฒนาตนในช่วงเข้าพรรษา คงไม่มีอะไรที่น่าเริ่มต้นดีไปกว่าการลดละสิ่งเสพติดเหล่านี้ลงบ้าง เช่น ลดการเที่ยวห้างเหลือเพียงเดือนละครั้ง หรือเล่นเกมออนไลน์เพียงวันละชั่วโมง หรืองดใช้โทรศัพท์มือถือหลังสองทุ่มไปแล้ว เป็นต้น
นอกจากการลดละสิ่งที่รัดรึงจิตใจหรือบั่นทอนชีวิตแล้ว เทศกาลเข้าพรรษายังควรเป็นโอกาสสำหรับการทำสิ่งดีงามด้วย เช่น การบริจาคทาน ตามประเพณีนั้น เรานิยมบริจาคทานให้แก่วัด ส่วนหนึ่งก็เพราะวัดนั้นเป็นสมบัติสาธารณะ การเอื้อเฟื้อวัดก็เท่ากับเอื้อเฟื้อส่วนรวม ถ้าจับสาระดังกล่าวได้ เราก็ควรประยุกต์ประเพณีด้วยการบริจาคเงินให้แก่องค์กรหรือหน่วยงานที่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมด้วย
ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ควรก้าวไปถึงขั้นสละเวลาและแรงกายให้แก่ส่วนรวม หรือบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เช่น ปลูกป่า ช่วยสอนหนังสือให้เด็ก นี้เป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์มาก เพราะนอกจากจะลดละความเห็นแก่ตัว และฝึกฝนตนให้มีเมตตาและนึกถึงผู้อื่นแล้ว ยังช่วยลดความทุกข์ในสังคม และส่งเสริมให้ผู้คนมีความเอื้ออาทรต่อกัน สังคมไทยจะน่าอยู่มากขึ้นหากชาวพุทธทำบุญกันแบบนี้กันทั้งประเทศ