รากฐานแห่งความสัมพันธ์ในทุกระดับคือการฟัง การฟังอย่างตั้งใจจะทำให้เราเข้าใจอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกันการฟังกันไม่มากพอ มักนำมาสู่การตัดสินและความขัดแย้ง ซึ่งมักเกิดขึ้นในที่ทำงานทุกที
เริ่มต้นด้วยการสังเกตว่าคุณเป็นผู้ฟังแบบไหน แล้วสังเกตว่าคนอื่นฟังคุณอย่างไร เขาสบตาคุณหรือไม่ เขาทำงานหลายอย่างพร้อมกันหรือไม่ คุณรู้สึกอย่างไร ถ้าคนที่คุณกำลังคุยด้วยดูเหมือน “อยู่” กับคุณเพียงครึ่งเดียว
พิจารณาว่าคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคนๆ หนึ่งคุยกับคุณแบบ “อยู่” กับคุณเต็มร้อย ลองสื่อสารกับผู้อื่นในลักษณะเดียวกับที่คุณอยากให้เขาสื่อสารกับคุณ
โดยสังเกตสัญญาณจากภาษากายของผู้พูด และสบตากัน การหยุดชั่วครู่ก่อนการตอบสนองทำให้เราได้หยุดและสังเกตว่าคำพูดเหล่านั้นมีผลกระทบต่อร่างกายของเราอย่างไร และใช้ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลอันล้ำค่าในการสนทนา
ให้เขาพูดเสร็จก่อน คุณจึงจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แทนการได้ยินเพียงบางส่วน
ถ้าคุณ “ได้ยิน” สิ่งที่เขาพูดจริงๆ คุณจะพบว่าการตอบสนองของคุณดีขึ้น โดยไม่ต้องเตรียมคำตอบล่วงหน้า
ระหว่างการสนทนา
พวกเราล้วนเป็นมนุษย์ที่ต้องการความเข้าใจ และส่งความรู้สึกโอบอุ้มให้ตัวเองและอีกฝ่าย หากสนิทสนมกันมากพอ อาจใช้ภาษากายช่วย เช่น ส่งสายตา จับมือ หรือโอบกอดเพื่อให้กำลังใจ
เพียงแค่กลับมาเริ่มต้นฟังอีกครั้งโปรดจำไว้ว่า เรากำลังเปลี่ยนนิสัยของชีวิต ดังนั้นจงใจดีกับตัวเอง
ไม่ว่าชีวิตจะดีดี๊ดีขนาดไหน แต่ก็ต้องมีสักวันที่เจอกับเรื่องหนักๆ บางครั้งวันละหลายเรื่อง บางวันอ่อนล้าจากการทำงานจนแทบจะไม่มีแรงเดินกลับบ้าน แต่อย่าปล่อยให้ความอ่อนล้ากลืนกินเราบ่อยๆ จนกลายเป็น “เบิร
ปัจจุบันภาวะหมดพลังในการทำงาน (Burnout syndromes) ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ถือว่าเป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในยุคปัจจุบัน เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อทั้งจิตใจและร่างกาย หลายคนตกอยู่ในภาวะนี้จนรู้
ในโลกการทำงานมักมีการกระทบกระทั่งกัน ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว มีสุภาษิตว่า “การไม่ให้อภัยก็เหมือนกับเราดื่มยาพิษและคาดหวังให้อีกฝ่ายตาย” ขณะที่การให้อภัยผู้อื่น (และตัวคุณเอง) สามารถช่วยให้คุณปลด
