ไม่นานมานี้ เพื่อนผมคนหนึ่งได้โทรศัพท์มาขอคำปรึกษาว่าเธอควรจะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมดีหรือไม่
เธอและน้องสาวตอนนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีสถานภาพทางสังคมที่มั่นคงพอควร ตัวเธอจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังคงยึดอาชีพเดิมคือทำงานเป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลประจำจังหวัด ส่วนน้องสาวก็รับข้าราชการมีความมั่นคงและก้าวหน้าไม่แพ้กัน
เธอบอกว่าความคิดที่จะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในครอบครัวของเธอ เมื่อต่างคนต่างอายุมากขึ้น หลังจากที่คุณพ่อเสียไปเมื่อ 2 ปีก่อน เธอและน้องสาวก็เริ่มคุยกันถึงชีวิตในอนาคตข้างหน้า
ตอนนี้มีเพียงคุณแม่ที่เปรียบเสมือนหลักในชีวิตของเธอและน้อง พยายามใช้เวลาว่างจากงาน ทำอะไรต่างๆ เพื่อให้แม่มีความสุข แต่เมื่อคิดเลยเถิดไปว่าถ้าแม่ไม่อยู่แล้วพวกเธอจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร ความรู้สึกเหงา ไร้เป้าหมายในชีวิตก็ผ่านวาบเข้ามาในความรู้สึก
เธอรู้สึกว่า ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ไม่รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตควรจะเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรให้ลุ้น ให้เป็นความหวัง ได้แต่ทำงานสนุกสนานไปวันๆ แล้วตอนแก่ตัวลงจะทำอย่างไร ความคิดส่วนหนึ่งมาลงเอยที่คิดจะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
แม้ว่าการแต่งงาน มีชีวิตครอบครัวดูเหมือนจะทำให้ชีวิตมีความหวัง มีความมั่นคงขึ้น แต่การได้มีโอกาสเห็นชีวิตครอบครัวที่พังทลายของหลายๆ คน เธอก็ขยาด ยิ่งถ้าต้องให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ได้ชอบ ไม่ใช่คนดีจริงๆ เธอและน้องก็เลือกที่จะอยู่คนเดียวดีกว่า
เธอบอกว่าการรับลูกบุญธรรมมาเลี้ยง อย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้กับเด็กคนหนึ่งในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้มีชีวิตที่ดีขึ้น
เธอคิดว่าจะใช้เวลา ใช้เงินทองที่พอมีอยู่เลี้ยงดูเขาได้ดีกว่าอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ตัวเธอเองก็จะได้มีชีวิตที่มีคุณค่าและความหวัง ได้ลุ้นว่าโตขึ้นเขาจะเป็นอย่างไร เธอจะสามารถสร้างเด็กคนหนึ่งให้เป็นคนดีของสังคมได้ไหม
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีความหวังเล็กๆ ซ่อนอยู่ในใจด้วยว่า เมื่อพวกเธอแก่ตัวลง เด็กน้อยที่เธอเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักมานั้นน่าจะได้มาเยี่ยมเยียนดูแลเธอบ้าง
สถานการณ์ที่เกิดกับเพื่อนผมนี้แม้ว่าเป็นเพียงความรู้สึกของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในสังคม แต่ก็เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์บางอย่างที่สังคมเมืองยุคนี้มีร่วมกันได้ดีทีเดียว
คนจำนวนไม่น้อยในสังคมยุคนี้ที่รู้สึกเหงา เหมือนตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิตดูไร้คุณค่าและความหมาย และกำลังต้องการอะไรบางอย่างมาเป็นคำตอบให้ชีวิต
แม้ธุรกิจเพื่อความบันเทิงและความสะดวกสบายในชีวิตจะพยายามยัดเยียดสินค้ารูปแบบใหม่ๆ มาให้ถึงบ้านจนเลือกเสพย์เลือกใช้กันแทบไม่ทัน แต่ความเหงาก็ยังหาโอกาสแทรกผ่านช่องว่างของความตื่นเต้นวุ่นวายเข้ามาในห้วงความคิดของเราจนได้
ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในหมู่คนโสด หรือคนที่เข้าสู่วัยกลางคนที่ชีวิตเริ่มลงตัวแล้วเท่านั้น แต่ยังเกิดกับคนในแทบทุกเพศทุกวัย เพียงแต่เรามักกลบเกลื่อนหลีกเลี่ยงไม่อยากใส่ใจกับความรู้สึกนี้มากนัก
วิถีชีวิตคนเมืองที่เน้นที่วัตถุ ทุ่มเทชีวิตเพื่อไขว่คว้าแข่งขันกันตั้งแต่เด็ก ทำให้คนจำนวนมากที่ไม่เก่ง หรือไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตตามสูตรสำเร็จที่สังคมกำหนดไว้ ต้องกลายเป็นผู้แพ้ เป็นคนสิ้นหวัง หมดอาลัยในชีวิต
ขณะเดียวกันสังคมก็พยายามสร้างกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้คนคิดแบบนี้มากหรือนานนัก เพราะอาจนำไปสู่การต่อต้านคุณค่าต่างๆ ที่สังคมกำหนดไว้
กลไกเหล่านี้อาจเริ่มต้นเบาะๆ ด้วยการตีความความรู้สึกเหงาๆ เศร้าๆ เหล่านี้ให้เป็นความคิดด้านลบที่ต้องรีบขจัด เพราะทำให้เสียเวลา ทำให้แพ้ผู้อื่นตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกันก็พยายามหากิจกรรมที่ดูสนุกสนานตื่นเต้นกว่ามาดึงความสนใจ และถึงที่สุดอาจใช้อำนาจของวงการแพทย์ยัดเยียดให้เป็นปัญหาทางจิตที่ต้องรักษา
คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหงา เหมือนตัวเองอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชีวิตดูไร้คุณค่าและความหมาย และกำลังต้องการอะไรบางอย่างมาเป็นคำตอบให้ชีวิต
แต่เมื่อเรามองในอีกมุมหนึ่ง ช่วงเวลาที่มีความรู้สึกเช่นนี้เป็นโอกาสที่สำคัญมากของชีวิต ทำให้เราได้หันมาคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เพื่อวางจังหวะชีวิตที่จะก้าวเดินต่อไป อาจเป็นช่วงสำคัญแห่งการปฏิวัติในชีวิตของหลายๆ คน
ภาวะนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเรามีประสบการณ์พร้อมมาระดับหนึ่ง และมีจิตใจสงบนิ่งจากสิ่งรบกวน เป็นภาวะที่เหมาะกับการใช้ปัญญาใคร่ครวญเรื่องราวที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้ง
และเมื่อเราใช้ปัญญาใคร่ครวญไม่นานนัก หลายคนได้ข้อสรุปลงในข้อที่ว่า ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ไร้ความหวังในชีวิต เป็นเพราะเราคิดไม่เหมือนกับสิ่งที่สังคมกำหนด หรืออาจพบความจริงว่า สิ่งที่สังคมกำหนดให้เราคิดและทำตามนั้นช่างไร้ค่าและผิวเผินเหลือเกิน
บางคนได้ใช้ช่วงเวลานี้ใคร่ครวญหาแนวทางการดำเนินชีวิตแบบใหม่ ที่นำชีวิตที่สงบสุข และมีคุณค่าความหมายกว่าสิ่งที่สังคมกำหนดไว้ โดยไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปปฏิบัติธรรมอยู่ในวัด ไปใช้ชีวิตในชนบท หรือมีชีวิตอย่างเฉื่อยชาซึมเซาต่อต้านความเจริญของโลกไปวันๆ
แต่การรู้เท่าทันและเข้าใจสาระที่แท้จริงของตัวเลขหรือวัตถุเงินทอง ทำให้หลายๆ คนกลายเป็นเจ้านายตนเอง รู้จักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและเงินทองที่มี หันมาให้ความสนใจต่อสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า และสร้างความรู้สึกที่มั่นคงกว่าขึ้นภายใน
ผมไม่มีคำตอบที่ชัดเจนใดๆ ให้กับเพื่อนในวันนั้น เพียงแต่ชี้ให้เธอเห็นคุณค่าของการคิดถึงเรื่องนี้ ให้เธอค่อยๆ ทบทวนถึงข้อดีข้อเสียต่างๆ ให้ถ้วนถี่อีกครั้ง ไม่ต้องเร่งรีบตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยที่จะมองถึงทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นไปได้ไว้ด้วย
ผมเชื่อว่า วันหนึ่งคำตอบที่เหมาะสมที่สุดจริงๆ จะผุดขึ้นจากภายในจิตใจที่สงบของเธอเอง