ชีวิตนี้มีแต่กำไร

พระไพศาล วิสาโล 12 พฤศจิกายน 2005

มีนิทานเล่าว่าขณะที่ชายสองคนอ้วนผอมเดินทางข้ามเมือง ก็ได้พบลาพลัดหลงมาตัวหนึ่งอยู่กลางทาง  ทั้งสองดีใจและตกลงว่าจะนำลาตัวนี้ไปขายที่ตลาดในเมืองที่อยู่ข้างหน้า ชายคนผอมรับอาสาทำหน้าที่นี้  ระหว่างที่จูงลาไปยังตลาด ได้พบชายหนุ่มซึ่งถือปลามา ๒ ตัว ชายคนนี้มีความสนใจลา จึงขอลองขี่ดูก่อน หากพอใจก็จะซื้อ  ก่อนขี่ลาเขาวานชายผอมให้ช่วยถือปลาให้ เขาขึ้นขี่ลาแล้วก็วนไปรอบๆ ยิ่งขี่ก็ตีวงกว้างขึ้น สุดท้ายก็ลับหายไป

ชายผอมตามหาลากลับมาไม่ได้ จึงเดินกลับไปหาชายอ้วน  ชายอ้วนเห็นเข้าก็เข้าใจว่าขายลาได้แล้ว จึงถามว่า “ขายได้เท่าไหร่”

“เท่าทุน” ชายผอมตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ “ไม่ใช่ๆ ๆ ได้กำไรเป็นปลา ๒ ตัว” ว่าแล้วก็ชูปลาที่ได้รับฝากไว้ให้ชายอ้วนดู

ชายอ้วนอาจโมโหที่สูญเสียลาไป เพราะเงินก้อนใหญ่ที่จะได้จากการขายลานั้นจู่ๆ ก็หายไป  แต่ชายผอมไม่ได้ทุกข์ร้อนเลย เขาพูดผิดหรือไม่เมื่อเขาบอกว่า “เท่าทุน” เพราะลาที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นลาที่เขาได้มาฟรีๆ  ที่จริงเขารู้สึกว่าได้กำไรด้วยซ้ำ เพราะทีแรกนั้นเดินทางตัวเปล่า แต่ตอนนี้ได้ปลามา ๒ ตัวโดยที่ไม่ได้ลงทุนลงแรงอะไรเลย

เมื่อเราสูญเสียไปอะไรก็ตาม เคยคิดบ้างไหมว่าเรา “เท่าทุน” เพราะเราทุกคนเกิดมาตัวเปล่าเท่านั้น ของที่มีอยู่ทุกวันนี้ล้วนได้มาทีหลังทั้งนั้น ไม่ว่าเป็นเงิน ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่คนรัก  อันที่จริงแม้จะสูญเสียอะไรไป แต่ก็อย่าลืมว่ายังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายอยู่กับเรา  แม้เงินหายไปหมื่นบาท แต่สมบัติอีกมากมายก็ยังอยู่  แม้กิจการจะล้มละลาย แต่ก็ยังมีบ้านอยู่ พ่อแม่คนรักและลูกหลานก็ยังอยู่ ไม่ต้องพูดถึงสติปัญญาความรู้และช่องทางทำมาหากินต่างๆ อีกมากมาย  นั่นหมายความว่า เรายัง “กำไร” อยู่

คนที่เคยทำกำไรปีที่แล้ว ๑๐ ล้านบาท แต่มาปีนี้กำไร ๑ ล้านบาท ถึงกำไรจะหดหายไปมากมาย ก็ยังมีกำไรอยู่นั่นเอง  ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเขาจะเลือกมองตรงไหน มองส่วนที่หดหายไป หรือมองส่วนที่ยังมีอยู่  ถ้ามองส่วนที่หดหายไป ก็ทุกข์ แต่ถ้ามองส่วนที่ยังมีอยู่ ก็สุขหรืออย่างน้อยก็เป็นปกติ

แม้จะสูญเสียอะไรไป แต่อย่าลืมว่ายังมีสิ่งดีๆ อีกมากมายที่อยู่กับเรา

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา การมองในแง่บวกช่วยให้เราไม่ทุกข์  เวลาประสบความล้มเหลว เรามองในแง่บวกได้หลายแง่ด้วยกัน  เช่น มองว่ายังดีที่ไม่เสียหายมากกว่านี้ หรือมองว่าเป็นบทเรียนสำหรับปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป  ที่สำคัญไม่น้อยก็คือการมองว่าความล้มเหลวนี้มาช่วยเตือนใจไม่ให้ประมาทหรือหลงระเริง มุมมองอย่างหลังนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอ  ในทำนองเดียวกันเมื่อถูกตำหนิ แทนที่จะหัวเสีย (ซึ่งแสดงว่า “ขาดทุน”) เราสามารถเปลี่ยนให้เป็น “กำไร” ด้วยการมองว่าคำตำหนิดังกล่าวมาช่วยเตือนใจไม่ให้หลงเพลิดเพลินไปกับคำสรรเสริญ

ความสำเร็จและคำสรรเสริญนั้นใครๆ ก็ชอบ แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จและได้รับคำสรรเสริญตลอดเวลา  ความล้มเหลวและคำตำหนิเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นของคู่กัน  เมื่อมีความสำเร็จก็ต้องมีความล้มเหลว เมื่อมีคำสรรเสริญก็ต้องมีคำนินทา เปรียบเหมือนมีหัวก็ต้องมีก้อย มีหน้ามือก็ต้องมีหลังมือ  นี้เป็นธรรมดาโลก เพราะไม่มีอะไรที่เที่ยง  นักกีฬาที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้แก่ผู้อื่นเพราะสังขารโรยรา ไม่มีนางงามคนใดครองตำแหน่งไปได้ตลอดชีวิต ไม่นานก็ต้องคืนให้ผู้อื่นไป เคยเห็นบ้างไหมงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา

อันที่จริงในสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จนั้นก็มีความล้มเหลวแฝงอยู่ด้วย ในทำนองเดียวกันในความงามก็มีความไม่งามแฝงอยู่ ในความหนุ่มสาวก็มีความแก่เฒ่าแฝงอยู่  คนที่ทำอะไรสำเร็จก็ตาม หากทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในที่สุดก็ต้องประสบกับความล้มเหลว  ทีมฟุตบอลที่ใช้แผนเดิมตลอดเวลา แม้ครั้งแรกๆ จะชนะ แต่ในที่สุดก็ต้องปราชัยจนได้ เพราะไม่มีวิธีใดที่ใช้การไปได้ตลอด  ไม่ว่าจะมีรูปร่างสวยงามหรือหล่อเหลาเพียงใด ถ้าไม่อาบน้ำชำระร่างกายนานๆ ความน่าเกลียดก็ปรากฏให้เห็น  เด็กที่เพิ่งคลอดก็ถือว่าแก่เมื่อเทียบกับทารกในครรภ์  กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสำเร็จคือความล้มเหลวที่ยังไม่ปรากฏ ความงามคือความไม่งามที่ยังไม่ปรากฏ และความหนุ่มสาวคือความแก่เฒ่าที่ยังไม่ปรากฏ

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้ามนั้น ที่จริงไม่ได้อยู่แยกจากกันเลย หากอยู่ด้วยกัน และมาคู่กัน  ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่ได้รับความสำเร็จหรือประสบสิ่งที่น่าพึงพอใจ ผู้ที่รู้เท่าทันธรรมดาของโลกย่อมไม่หลงระเริงหรือประมาทตายใจ เพราะตระหนักดีว่าความล้มเหลวหรือสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมบังเกิดขึ้นแก่ตน  และเมื่อถึงคราวที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่ทุกข์ เพราะเตรียมใจไว้แล้ว

ความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา ก็เพราะไม่รู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตที่มีความแปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ เวลาได้รับคำสรรเสริญชื่นชมก็ดีใจได้ปลื้ม แต่พอถูกตำหนิติเตียนก็ย่อมเฉียวฉุนขุ่นเคืองเป็นธรรมดา  ใครที่สงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ทุกข์เวลามีคนตำหนิ คำตอบก็อยู่ตรงนี้เอง นั่นคือเวลามีคนชมก็อย่าไปหลงใหลได้ปลื้ม ให้ระลึกว่าเมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา ไม่มีใครที่ได้รับแต่คำชื่นชม แม้แต่คนที่เคยชื่นชมเราก็อาจหันมาตำหนิได้  ถ้าเตรียมใจไว้ได้เช่นนี้ ถึงเวลาที่คำตำหนิพุ่งมาหา ก็ทำใจเป็นปกติได้  และถ้ารู้จักมองให้เป็นบวก ก็จะได้ประโยชน์เป็น “กำไร”  เช่น มองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีอะไรที่เราจะนำไปใช้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองได้บ้าง หรือถือเป็นเครื่องย้ำเตือนตนเองธรรมดาของโลกว่าเป็นเช่นนี้เอง

ถ้าเตรียมใจรับมือกับคำตำหนิและความล้มเหลวอยู่เสมอ เมื่อประสบกับความสูญเสียพลัดพรากหรือเหตุร้ายที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น เช่น ป่วยหนัก เราก็มีภูมิต้านทานที่ช่วยป้องกันไม่ให้ความทุกข์ครอบงำจิตใจได้มากนัก แม้ทีแรกอาจเศร้าโศกเสียใจ แต่ไม่นานก็จะตั้งตัวได้  แต่นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องระลึกไว้เสมอด้วยว่า สิ่งดีๆ ที่เรามีอยู่นั้น ไม่ว่า ทรัพย์สมบัติ สุขภาพ ครอบครัว สามารถแปรเปลี่ยนพลิกผันไปได้ตลอดเวลา อย่าไปเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นจนลืมตัว ถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเรากำลังตกอยู่ในความประมาทแล้ว


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา