สิ่งที่น่ากลัวกว่าภัยพิบัติ

พระไพศาล วิสาโล 1 กรกฎาคม 2011

ในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติมากมายทั่วโลก โดยเฉพาะไม่กี่เดือนมานี้ภัยพิบัติเกิดขึ้นใกล้บ้านเรามาก เริ่มจากญี่ปุ่นแล้วก็พม่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกันมาก นั่นเป็นเพราะมีความกลัวตายเป็นพื้นฐาน แต่เรามักจะลืมไปว่าถึงแม้ไม่เกิดภัยพิบัติเลย เราก็ต้องตายทุกคน และหลายคนก็จะต้องตายก่อนเกิดภัยพิบัติครั้งหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นแทนที่จะมัวตื่นตระหนกถึงภัยพิบัติครั้งต่อไป ซึ่งจะเกิดที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ เราควรมาใส่ใจกับความจริงที่ตามติดเราไปทุกหนทุกแห่ง นั่นก็คือความจริงที่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนต้องตาย ถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นในอีกร้อยปีข้างหน้า เราทุกคนก็หนีความตายไม่พ้น

ดังนั้นเราจึงควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับความตายที่จะมาถึงดีกว่า เช่น หมั่นทำความดี หลีกหนีความชั่ว ปฏิบัติต่อคนรอบข้างด้วยความใส่ใจ ฝึกจิตให้ตระหนักรู้ถึงความไม่จิรังยั่งยืนของทุกสิ่ง และพร้อมปล่อยวางเมื่อเกิดความพลัดพรากสูญเสีย ถ้าทำเช่นนี้ได้ครบถ้วน ความกลัวตายก็จะลดลง และไม่ตื่นกลัวภัยพิบัติ กลับมองว่าภัยพิบัติเหล่านี้มีข้อดีด้วยซ้ำตรงที่ช่วยเตือนไม่ให้ประมาท เราควรมองภัยพิบัติทั้งหลายในแง่นี้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะมัวตื่นตระหนกตกใจ จนไม่เป็นอันทำอะไร และพลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเองและผู้อื่น

พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ควรเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น มีการวางแผนบรรเทาสาธารณภัยที่รัดกุม เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในยามฉุกเฉิน เป็นต้น การเตรียมการดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราไม่ควรมองข้ามความจริงข้อหนึ่งก็คือ ภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝนแล้ง หรือคลื่นสึนามิ แม้จะรุนแรงเพียงใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับใจวิบัติ ถ้าใจวิบัติแล้วความเสียหายจะตามมามากมาย

ใจวิบัติหมายถึงอะไร หมายถึงใจที่วิปริตผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนจากธรรม หรือถูกกัดกร่อนเผาลนด้วยความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใจที่วิบัติสามารถทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมไม่ต่างจากสัตว์ และสามารถทำร้ายซึ่งกันและกัน จนทุกหนทุกแห่งกลายสภาพเป็นนรกได้ฉับพลัน แต่ถ้าใจไม่วิบัติแล้วแม้จะเจอภัยพิบัติแค่ไหนก็ยังพอจะประคับประคองกันไปได้ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิแล้ว ความเดือดร้อนแพร่กระจายไปทั่ว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ ที่ผู้คนกล่าวขานด้วยความชื่นชมว่า คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังมีวินัย มีน้ำใจต่อกัน ขนาดเกิดภัยพิบัติร้ายแรง ก็ยังไม่มีการปล้นสะดม ไม่มีการฉวยโอกาสที่กระหน่ำซ้ำเติมผู้เดือดร้อน

อาคารบ้านเรือนและสาธารณูปโภคที่ถูกทำลายในจังหวัดมิยางิ

เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทยแล้วจะเห็นว่าตรงกันข้าม ดังปรากฏเป็นข่าวเสมอว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกันบนทางหลวง ผู้โดยสารบาดเจ็บติดอยู่ในรถ ช่วยตัวเองไม่ได้ ผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้นแทนที่จะมาช่วยเหลือกลับมารุมทึ้ง แย่งเอานาฬิกา สร้อยคอ เงินทองของผู้ประสบเหตุ คงคิดว่าเจ้าของทรัพย์เหล่านั้นเสียชีวิตแล้ว ก็เลยถือเอามาเป็นของตัวเสียเลย แต่ผู้โดยสารบางคนแม้ยังไม่ตาย ก็ยังมีคนมายื้อยุดนาฬิกาจากมือของเขา ทั้งๆ ที่เขาวิงวอนขอร้องว่าอย่าทำ นี้คือตัวอย่างของใจวิบัติที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นยักษ์มาร ไร้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หากใจวิบัติเกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบ้านเมืองจะร้อนรุ่มปานสักเพียงใด

ภาพเหล่านี้เห็นยากในประเทศญี่ปุ่น แม้กระทั่งเวลามีการแจกข้าวแจกน้ำ ผู้คนก็เข้าคิวกันเป็นระเบียบ ไม่มีการแย่งแซงคิวกัน มีคนเล่าว่าวันแรกที่เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ คนนับหมื่นนับแสนสูญเสียบ้านเรือน ปรากฏร้านค้าต่างๆ ที่ไม่ประสบภัยพิบัติพากันเปิดร้าน และเอาอาหารมาแจกคนที่เดือดร้อน ถ้าเป็นที่อื่นหรือที่เมืองไทยร้านค้าก็อาจจะขึ้นราคา เพราะถือว่าได้โอกาสแล้ว ถึงจะแพงอย่างไรคนก็ต้องซื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหรืออาหาร แต่ที่ญี่ปุ่นเหตุการณ์ดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่ง สินค้าตกมากองระเกะระกะเพราะแรงแผ่นดินไหว แต่ลูกค้าก็ช่วยกันเก็บของ แล้วก็หยิบของที่ตนต้องการซื้อไปต่อคิวจ่ายเงิน

ในโตเกียวมีคนมากมายกลับบ้านไม่ได้ เพราะรถไฟฟ้าหยุดวิ่ง หลายคนนอนข้างทางเพราะโรงแรมเต็ม ก็มีคนจรจัดซึ่งเป็นคนยากจนไม่มีบ้าน เขามีน้ำใจเจียดเอากระดาษแข็งที่ใช้ก่อเป็นเพิง มาแบ่งให้คนเหล่านั้นมีที่นอน เพราะช่วงเดือนมีนาคมที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศหนาวมาก ขณะเดียวกันเจ้าของร้านยังเอาขนมปังมาแจกฟรีแก่คนที่กำลังเดินกลับบ้านเพราะหารถไม่ได้ มีพนักงานรถไฟคนหนึ่งประทับใจเด็กนักเรียนมาก เพราะเด็กนักเรียนมาพูดกับเขาว่า “ขอบคุณครับ ที่เมื่อวานคุณลุงพยายามอย่างสุดชีวิตทำให้รถไฟเดินรถได้อีกครั้ง” พนักงานรถไฟได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนมีกำลังใจ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้เกิดภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ก็ยังสามารถพบสุขท่ามกลางความทุกข์ แม้จะมีความทุกข์แค่ไหนผู้คนก็ไม่หมดหวัง

การคมนาคมทางรถไฟในโตเกียวต้องหยุดชะงักเนื่องด้วยเหตุแผ่นดินไหว

เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม แต่กลับไม่ตระหนักว่า อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง เพราะถ้าใจของเราวิบัติเสียแล้ว ย่อมหาความสุขไม่ได้เลย แม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น มีความสะดวกสบายทุกอย่าง ก็ยังรู้สึกร้อนรุ่มจิตใจไม่เป็นสุข เพราะผู้คนต่างเบียดเบียนเอาเปรียบกัน

คนเราใจวิบัติได้ด้วยหลายสาเหตุ นอกจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่แล้ว ความโกรธก็ยังทำให้ใจวิบัติได้ เพราะว่าเมื่อเกิดความโกรธเกลียดกันแล้ว เราก็สามารถทำร้ายคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ เช่น สามีทำร้ายภรรยา ลูกทำร้ายพ่อ พี่ฆ่าน้อง เป็นต้น อย่าว่าแต่ทำร้ายคนอื่นแล้ว แม้แต่ตัวเอง หากใจวิบัติแล้ว ก็ยังสามารถทำร้ายตัวเองได้ เช่น ฆ่าตัวตายเพราะน้อยเนื้อต่ำใจในคนรัก หรือต้องการประชดพ่อแม่ ด้วยอำนาจของความโกรธ หลายคนฆ่าตัวตายทั้งๆ ที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ มีชีวิตที่สะดวกสบาย ไกลจากภัยพิบัติใดๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าตัวตาย ก็สามารถล้มป่วยเพราะความโกรธได้ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตกจนเป็นอัมพาตก็เพราะโกรธจัดจนคุมไม่ได้

ความกลัวก็สามารถทำให้ใจเราวิบัติได้ เพราะเมื่อกลัวแล้วย่อมเกิดความตื่นตระหนกได้ง่าย ปรุงแต่งไปต่างๆ นานา จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ คนไข้บางคนพอรู้ความจริงจากหมอว่า ตนเองเป็นมะเร็ง อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ก็ตกใจ ทำใจไม่ได้เมื่อรู้ว่าจะต้องตาย วิตกกังวลสารพัด จนเศร้าซึมไม่เป็นอันกินอันนอน ปรากฏว่าอยู่ได้แค่ ๑๒ วันก็ตาย และไม่ได้ตายสงบด้วย แต่ตายด้วยความทุรนทุราย

ทั้งหมดนี้กล่าวอย่างสรุปก็คือ ใจวิบัติเพราะลืมตัว จึงปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความกลัวทำร้ายจิตใจ พอลืมตัวแล้วก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้นรวมทั้งทำร้ายตนเอง บางคนเกิดอารมณ์ชั่ววูบจนลืมตัว กระโดดลงจากตึกบ้าง ลงจากสะพานบ้าง วิ่งไปให้รถชนบ้าง บางทีก็ไปซื้อปืนมายิงตัวเองบ้าง ทำร้ายคนอื่นบ้าง

เรามักเป็นห่วงกังวลกับอันตรายที่อยู่นอกตัว แต่อันตรายที่น่ากลัวที่สุดนั้น อยู่ที่ใจของเรานั่นเอง

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือตั้งสติให้ดี อย่ากลัวหรือตื่นตระหนกกับภัยพิบัติจนลืมตัว หรือมองข้ามอันตรายที่ยิ่งกว่านั้นคือใจวิบัติ อันตรายชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ใจที่ควรจะสร้างสุขให้เรา แต่กลับกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเรา อย่าลืมว่าไม่มีอะไรที่จะทำร้ายเราได้มากกว่าจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าตรัสไว้ “จิตที่ฝึกฝนผิดทางย่อมทำความเสียหายให้ยิ่งกว่าศัตรูต่อศัตรู หรือคนจองเวรต่อคนจองเวรจะพึงทำให้กันเสียอีก”

ศัตรูทำร้ายศัตรูด้วยกัน หรือคนจองเวรกัน ก็ยังไม่ก่อความเสียหายเท่ากับใจที่ตั้งไว้ผิด ใจที่คลาดเคลื่อนจากธรรมหรือที่อาตมาเรียกว่าใจวิบัตินี้แหละ สามารถทำร้ายหรือสร้างความฉิบหายได้ยิ่งกว่าที่ศัตรูทำร้ายกัน แม้แต่โจรก็ทำร้ายเราได้ไม่เท่ากับใจของเราเองด้วยซ้ำ อย่างมากที่โจรแย่งชิงไปได้ก็คือทรัพย์สินเงินทองหรือเพชรนิลจินดาไป แต่เขาไม่สามารถแย่งชิงหรือขโมยความสุขไปจากใจเราได้ ในทำนองเดียวกันศัตรูด่าว่าเรา ไม่สามารถทำให้เราทุกข์ได้หรอก ไม่ว่าเขาจะพูดเสียงดังหรือสรรหาคำรุนแรงมาด่าเราเพียงใดก็ตาม ถ้าหากว่าใจเราไม่เปิดใจรับคำด่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่เพราะเราวางใจไม่ถูก คำพูดเพียงเล็กน้อยๆ ก็สามารถจะทำให้เราคลุ้มคลั่งเป็นบ้าหรือกลุ้มอกกลุ้มใจจนทำร้ายตัวเองได้

มีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งอาจจะไม่ใช่คำพูดที่รุนแรงเช่น คำพูดว่า “แม่ไม่มีเงินซื้อโทรศัพท์มือถือให้นะ” หรือ “ถ้าแกสอบตก พ่อจะตัดหางปล่อยวัดแล้ว” คำพูดแค่นี้สามารถทำให้คนบางคนทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้ ถามว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงหรือเปล่า มันไม่รุนแรงเลย แต่เป็นเพราะผู้ฟังวางใจไว้ผิด พอฟังแล้วใจก็เลยวิบัติ พอใจวิบัติแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำร้ายตัวเอง

แต่ถ้าวางใจไว้ดี ใจไม่วิบัติ แม้เจอภัยพิบัติจมอยู่ในกองอิฐ ก็ยังเป็นปกติได้ ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น มีหลานกับยายสองคนถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานถึง ๙ วัน ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไปพบและช่วยไว้ได้ คนที่ถูกช่วยออกมาจากซากปรักหักพังก่อนคือ หลานอายุ ๑๖ ปี พอหลานรู้ว่ามีคนมาช่วยก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่พอออกจากซากตึกได้ก็หมดแรงจนต้องนอนเปลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ตรงกันข้ามกับยายอายุ ๘๐ ปีเดินออกมาสบายๆ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่ต้องให้ใครพยุงหรือนอนเปล พูดถึงสภาพร่างกายแล้ว สองคนนี้แตกต่างกันมาก หลานแข็งแรงกว่ายายมาก แต่ทำไมหลานหมดสภาพทันทีที่ออกมาจากซากตึก ตรงข้ามกับยายที่เดินออกมาอย่างปกติ เป็นเพราะอะไร คำตอบอยู่ที่ใจนั่นเอง ใจของยายนั้นสงบตั้งแต่อยู่ในซากตึกแล้ว อาจเป็นเพราะมีความหวังว่าจะมีคนช่วยออกมาได้ หรือไม่ก็เพราะใจพร้อมจะตายตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเวลายายเจอเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เลยไม่ได้ดีอกดีใจอะไรมาก และเมื่อใจสงบ ไม่วิตกกังวลร่างกายก็เลยเข้มแข็ง ไม่ทรุดหรือหมดสภาพ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีอาหารกิน

นี้ก็เช่นเดียวกับกรณีเหมืองถล่มที่ชิลีเมื่อปีที่แล้ว มีคนงาน ๓๓ คนถูกขังอยู่ใต้ดินลึกถึง ๖๐๐ เมตร นานถึง ๗๐ วัน ไม่มีใครรู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ที่จริงโอกาสตายมีสูงมาก เพราะการช่วยเหลือทำได้ยากมาก แต่ว่าทุกคนก็รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กู้ภัยเก่งอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่ถูกขังใต้ดินนั้นเขาดูแลจิตใจของตนเองดี ส่วนหนึ่งเพราะต่างช่วยกันดูแลจิตใจของกันและกัน ทำให้ไม่ตื่นตระหนก เสียขวัญ หรือท้อแท้ เห็นได้ชัดว่าแม้เจอภัยพิบัติแต่ถ้าใจไม่วิบัติ ใจเป็นปกติ สามารถพบกับความสุขหรืออย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ทรมานแม้จะอยู่ใกล้ชิดความตายอย่างยิ่งก็ตาม

ทีมกู้ภัยชิลีขณะปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ในเหมือง

การรักษาใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าเราหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาใจ รู้จักประคับประคองใจไม่ให้วิบัติ เราจะไม่กลัวภัยพิบัติ และไม่กังวลด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่นิ่งเฉย ไม่ทำอะไรเลย ในสภาพอย่างนี้เราต้องไม่ประมาท ควรเตรียมการป้องกันเต็มที่ แต่ก็ไม่ควรทำด้วยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รู้ว่าอันตรายเหล่านี้ไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ แม้แต่พยากรณ์ก็ยังทำได้ยาก โดยเฉพาะแผ่นดินไหวไม่มีทางพยากรณ์ได้เลย ดังนั้นจึงพร้อมเผชิญกับมันตลอดเวลา มิใช่แต่ภัยพิบัติที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น แม้ภัยพิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ไฟไหม้ ก็ยังสามารถรักษาใจให้ปกติไม่อกสั่นขวัญแขวน หรือถึงจะไม่มีภัยพิบัติใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนเช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งความตาย เมื่อเกิดขึ้นเราก็ยังสามารถรักษาใจได้ให้ปกติได้

เราควรดูแลรักษาใจอย่างไรเพื่อไม่ให้ใจวิบัติ ขอกล่าวอย่างย่อๆ ดังนี้

๑. มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ความตื่นตระหนก ความกลัว ความโกรธ หรือความโลภ ครอบงำใจ เวลาได้ยินข่าวคราวหรือเสียงร่ำลือเกี่ยวกับภัยพิบัติ รวมทั้งคำพยากรณ์ต่างๆ ให้ตั้งสติให้ดี อย่าเพิ่งตื่นตระหนก หรือทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม สืบสาวหาความจริงก่อนว่า ความจริงเป็นอย่างไร หาไม่เราจะตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือทำให้ข่าวลือแพร่กระจาย พร้อมกันนั้นก็หมั่นเจริญสติอยู่เป็นประจำ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเพื่อจะได้มีสติ รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ

๒. เจริญมรณสติอยู่เสมอ นั่นคือตระหนักถึงความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน และสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ความตายจึงอยู่ใกล้ตัวเรายิ่งกว่าภัยพิบัติใดๆ ทั้งสิ้น และถึงแม้ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นเลย เราก็หนีความตายไม่พ้น แต่ความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใดไม่รู้ อาจเกิดขึ้นกับเราวันนี้คืนนี้ก็ได้ ดังนั้นจึงควรถามตัวเองว่าหากวันนี้ต้องตาย เราพร้อมหรือไม่ที่จะจากโลกนี้ไป เราทำความดีสร้างบุญกุศลมาพอหรือยัง กิจธุระที่สำคัญทำเสร็จสิ้นหรือยัง และพร้อมปล่อยวางสิ่งต่างๆ รวมทั้ง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก ตลอดจนร่างกายนี้หรือยัง หากไม่พร้อมก็ควรเร่งทำ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติกับทุกคนด้วยความใส่ใจโดยตระหนักว่าเขาอาจอยู่กับเราวันนี้เป็นวันสุดท้ายก็ได้ อย่าละเลยโอกาสที่จะทำดีกับทุกคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย

๓. อยู่กับปัจจุบัน อย่ามัวห่วงกังวลกับอนาคตหรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การเตรียมตัวป้องกันเหตุร้ายเป็นสิ่งที่ดี แสดงถึงการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แต่หากหมกมุ่นกับภัยพิบัติที่ยังไม่เกิด จนไม่รู้จักปล่อยวางเลย เราจะเป็นทุกข์โดยใช่เหตุ หรือกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ เมื่อเตรียมการเต็มที่แล้ว ก็ควรหันมาใส่ใจกับการอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด รวมทั้งมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย อย่ากังวลกับอนาคตภัยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือเคร่งเครียด เพราะการกระทำเช่นนั้น นอกจากเป็นการนำความทุกข์มาทับถมตนหรือซ้ำเติมตนเองแล้ว ยังเป็นการละทิ้งความสุขที่มีอยู่โดยชอบธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่สรรเสริญ

๔. พร้อมยอมรับความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น อะไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ป่วยการที่เราจะตีโพยตีพาย โวยวายหรือปฏิเสธผลักไส เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เราเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น สิ่งที่ควรทำคือยอมรับความจริง แล้วใคร่ครวญว่าควรจะทำอะไรต่อไป เช่น จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร เราจะทำใจพร้อมยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ก็ด้วยการหมั่นฝึกใจให้พร้อมยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เช่น รถติด ฝนตก เงินหาย ถูกตำหนิ ฯลฯ หากทำใจยอมรับสิ่งเหล่านี้ด้วยใจที่เป็นกลางได้ ก็จะช่วยให้เราสามารถเผชิญกับภัยพิบัติได้ด้วยใจสงบไม่ตื่นตระหนกหรือเสียขวัญ

๕. มีน้ำใจต่อผู้อื่นเสมอ ยิ่งนึกถึงตัวเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นทุกข์ง่ายมากเท่านั้น ตรงกันข้ามการนึกถึงผู้อื่นที่ทุกข์มากกว่าเรา จะช่วยให้เราทุกข์น้อยลง เห็นความทุกข์ของเราเป็นเรื่องเล็กกว่าเดิม สามารถทนกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้

พื้นที่ประสบภัยภิบัติอย่างรุนแรงในจังหวัดอิวาเตะ

อาสาสมัครผู้หนึ่งที่ไปช่วยผู้ประสบภัยในญี่ปุ่นเล่าว่า หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวได้ ๙ วัน เขาไปช่วยแจกอาหารให้แก่ผู้ประสบภัย วันนั้นแถวของคนที่รอรับอาหารนั้นยาวมาก มีเด็กชายวัย ๙ ขวบคนหนึ่งยืนอยู่ท้ายแถว เขาจึงเดินไปคุยด้วย และทราบว่าเด็กชายได้สูญเสียทั้งพ่อและแม่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาเหลือแค่เสื้อยืดคอกลมและกางเกงขาสั้น อาสาสมัครจึงถอดเสื้อหนาวให้เด็กชาย ระหว่างที่ถอดเสื้อ อาหารมื้อเย็นของเขาที่เก็บไว้ในเสื้อก็ตกลงมา เขาจึงยื่นอาหารนั้นให้เด็กชาย เด็กชายรับแล้วก็ค้อมตัวลงและกล่าวคำขอบคุณ แต่แทนที่เขาจะกินอาหาร เขากลับเดินตรงไปยังหัวแถว แล้วนำอาหารที่ได้รับนั้นวางลงในถาดอาหารสำหรับแจกจ่ายให้ผู้อื่นที่กำลังเข้าแถว แล้วเขาก็เดินกลับมาต่อท้ายแถวตามเดิม อาสาสมัครผู้นั้นประหลาดใจมากจึงถามเด็กชายว่าทำไมเขาไม่กินอาหารที่ได้รับ เด็กชายตอบว่า “เพราะมีคนอีกมากที่อาจจะหิวยิ่งกว่าผม ผมวางไว้ตรงนั้น ก็เพื่ออาหารจะได้รับการแจกจ่ายอย่างเป็นธรรมให้กับทุกคน” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเด็กชายคนนี้ประสบกับความทุกข์แสนสาหัส แต่เขายังมีน้ำใจนึกถึงผู้อื่น การคิดถึงผู้อื่นที่ทุกข์กว่าตน ทำให้เด็กชายเห็นความทุกข์ของตนเองเป็นเรื่องเล็ก และสามารถยอมรับความทุกข์ได้

ใจของเรานั้นหากปล่อยให้วิบัติ สามารถทำอันตรายแก่เราได้ยิ่งกว่าที่โจรผู้ร้ายจะทำได้ ในทางตรงข้ามหากดูแลรักษาใจให้ดี ใจก็จะกลายเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเราได้ ไม่ว่าจะเจออันตรายร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หวั่นไหว หาสุขพบได้ท่ามกลางเหตุร้ายที่เกิดขึ้น หรือสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

ไม่มีใครหรืออะไรสามารถให้สิ่งประเสริฐแก่เราได้มากเท่ากับใจที่วางไว้ถูก ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “มารดาก็ทำให้ไม่ได้ บิดาก็ทำให้ไม่ได้ ญาติพี่น้องก็ทำให้ไม่ได้ แต่จิตที่ฝึกฝนไว้ชอบย่อมทำสิ่งนั้นให้ได้ และทำให้ได้อย่างประเสริฐด้วย” ถ้าเราตั้งจิตไว้ถูก มีธรรมรักษาใจ ก็จะได้พบสิ่งที่ประเสริฐสูงสุดที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่สามารถให้ได้

ดังนั้นหากกลัวภัยพิบัติ ก็ต้องเร่งฝึกฝนจิตใจเพื่อป้องกันไม่ให้ใจวิบัติ หมั่นใส่ใจดูแลเพื่อให้ใจกลายเป็นสมบัติอันประเสริฐสุดของเรา ถ้าหากวางใจได้อย่างนี้ ภัยพิบัติจะกลับกลายเป็นคุณต่อเรา มิใช่เป็นโทษสถานเดียวอย่างที่ใครต่อใครกำลังหวาดกลัวอยู่ในเวลานี้


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา