ในหนังสือเรื่อง Mindful Politics ซึ่งรวบรวมทัศนะชาวพุทธอเมริกันเกี่ยวกับสังคมและการเมือง ริชาร์ด รีออค (Richard Reoch) ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งให้แง่คิดอย่างน่าสนใจ
เรื่องของเรื่องก็คือ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนั้นเห็นว่าควรมีการอบรมให้สมาชิกมีความรู้และทักษะการระงับความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เพราะเห็นว่าสอดคล้องกับคำสอนทางพุทธศาสนา จึงได้เชิญวิทยากรผู้หนึ่งมาจัดอบรมเชิงปฏิบัติการในช่วงเสาร์อาทิตย์ วิทยากรผู้นี้ไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ก็เข้าใจแนวคิดและอารมณ์ความรู้สึกของคนกลุ่มนี้พอสมควร
วันที่สองของการอบรมซึ่งจัดในห้องสวดมนต์ วิทยากรชวนทำกิจกรรม “สวมบทบาท” โดยให้สมาชิกสองคนรับบทเป็น “ตัวประกัน” ซึ่งถูกผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งจับตัวไป คนที่เหลือสวมบทบาทเป็นผู้เจรจาเพื่อให้สองคนนั้นได้รับอิสรภาพ ส่วนวิทยากรรับบทเป็นผู้ก่อการร้าย เมื่อชี้แจงบทเรียบร้อยแล้ว เขาก็ควักบุหรี่ออกมาสูบ
หนึ่งในผู้อบรมประท้วงทันทีว่า “ขอโทษครับ ห้ามสูบบุหรี่ในห้องสวดมนต์” แต่เขาทำทีไม่สนใจ ยังคงสูบต่อไป ครั้นถูกทักท้วงหนักเข้า เขาก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “กฎระเบียบอะไรของคุณ ผมไม่สนใจหรอก คุณอยากเจรจาเรื่องสูบบุหรี่ หรืออยากให้เพื่อนของคุณได้อิสรภาพ?”
“เราจะไม่เจรจากับคุณจนกว่าคุณจะเคารพห้องสวดมนต์ของเรา” อีกคนหนึ่งยืนกราน
“โอเค หยุดสูบก็ได้” ว่าแล้วผู้ก่อการร้ายก็เดินไปที่แท่นบูชา สูบบุหรี่เฮือกใหญ่ แล้วก็ขยี้ก้นบุหรี่บนพระเพลา (ตัก) ของพระพุทธรูป
ทุกคนในห้องนิ่งอึ้งไปหมด ตอนนี้ไม่มีใครสนใจการสวมบทบาทแล้ว ต่างวิ่งไปดูว่าพระพุทธรูปเสียหายหรือไม่
“คุณรู้ไหมว่าทำอะไรลงไป” มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “นี่พระพุทธรูปนะ”
“ผมไม่สนใจ นี่ไม่ใช่พระพุทธรูปของผม และนี่ก็ไม่ใช่ห้องสวดมนต์ของผม ตอนนี้ผมหยุดสูบบุหรี่แล้ว พวกคุณอยากเจรจาเรื่องเพื่อนของคุณหรือเปล่า ไม่งั้นผมก็จะออกจากห้องนี้ไป”
ตอนนี้ทุกคนพากัดเดือดดาล ไม่มีใครสนใจเรื่องการเจรจาปล่อยตัวประกันแล้ว เพราะโกรธเคืองที่เขาดูหมิ่นพระพุทธรูป ชายคนหนึ่งเดินไปหาเขาแล้วพูดว่า “เราเชิญคุณมาที่นี่เพื่อจัดอบรม เรารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ของคุณและคุณก็ไม่ได้นับถือพุทธ แต่นี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา เราขอให้คุณเคารพสถานที่แห่งนี้”
“คุณอยากรู้ว่าผมเคารพสถานที่นี้แค่ไหนหรือ?” ว่าแล้วเขาก็เดินไปมุมห้องแล้วฉี่ใส่พื้น
เท่านั้นแหละทุกคนอดใจไม่อยู่ กรูไปหาเขา แล้วกลุ้มรุมทำร้ายเขา บ้างก็เตะ บ้างก็ต่อย จนเขาล้มลง แต่ก็พาตัวหนีออกมาได้ พร้อมกับบอกให้ “ตัวประกัน” เป็นอิสระ ก่อนที่เขาจะออกจากห้องสวดมนต์นั้น แล้วไม่กลับมาอีกเลย
การอบรมครั้งนั้น แทนที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นและมีทักษะทางด้านสันติวิธีมากขึ้น กลับลงเอยด้วยความรุนแรง นักปฏิบัติธรรมซึ่งรักสงบเคร่งในศีล บางคนกินมังสวิรัตินานนับสิบปีด้วยซ้ำ แต่เหตุใดกลับลงมือเตะต่อยทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน?
อันที่จริงเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นจากเรื่องสมมุติ พฤติกรรมของวิทยากรผู้นั้นก็เป็นแค่การแสดง แต่ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องจริงจังจนเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นมาได้ คำตอบก็คือ เป็นเพราะความลืมตัวของผู้เข้าอบรม และที่พวกเขาลืมตัวก็เพราะเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ซ้ำร้ายเป็นความไม่ถูกต้องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตนสักการะบูชาเสียด้วย
คนเหล่านี้เคารพสักการะพระพุทธเจ้า (และสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง) เป็นอย่างมาก จนเห็นว่าเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ ครั้นมีคนแตะต้องสิ่งเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นแค่การแสดง เขาก็รู้สึกถูกกระทบอย่างรุนแรง เกิดความโกรธจนลืมตัว
คนเหล่านี้เห็นว่าความรุนแรงไม่ดี สวนทางกับคำสอนของพระพุทธองค์ จึงเห็นความสำคัญของการฝึกฝนสันติวิธี แต่เมื่อลืมตัวเพราะถูกความโกรธครอบงำเสียแล้ว ก็ลืมไปเลยว่ากำลังอบรมเรื่องสันติวิธีอยู่ พร้อมจะทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือขัดกับคำสอนของพระองค์ ทั้งนี้เพื่อรักษา “ความถูกต้อง” เอาไว้
ความถูกต้องนั้น เป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่ถ้ายึดติดถือมั่นมาก ก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ผิดได้ เพราะยิ่งยึดติดถือมั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งโกรธเกลียดได้ง่ายจนลืมตัว เมื่อสิ่งที่ยึดติดถือมั่นถูกกระทบ หรือเมื่อเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ยึดติดถือมั่น และเมื่อลืมตัวเสียแล้ว ก็พร้อมจะทำสิ่งที่เลวร้ายหรือตรงข้ามกับสิ่งที่ตนเชื่อ
อันที่จริงถ้ามีสติ ก็จะรู้ว่าสิ่งที่วิทยากรผู้นั้นทำก็คือ การสร้างสถานการณ์ยั่วยุเพื่อฝึกให้เขาเหล่านั้นคิดหาทางออกอย่างสันติ วิทยากรผู้นั้นเลือกที่จะใช้โจทย์ยากๆ คือเรื่องที่กระทบกับความเชื่อหรือทิฐิของคนเหล่านั้น ชนิดที่กระเทือนไปถึงอัตตา แต่เป็นเพราะผู้เข้าอบรมนั้นมัวแต่ส่งจิตออกนอก จอจ่ออยู่กับการกระทำที่ “ไม่ถูกต้อง” จนลืมกลับมาดูจิตของตน จึงถูกความโกรธเล่นงาน ผลก็คือแทนที่จะเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสันติ กลับทำสิ่งเลวร้ายซึ่งสวนทางกับหลักธรรมในพุทธศาสนา พูดอีกอย่างก็คือ สมาชิกสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านั้นล้วนสอบตก ทั้งในฐานะชาวพุทธและผู้ใฝ่สันติวิธี
ในความเป็นจริง โจทย์ดังกล่าวมิใช่เรื่องเกินเลย ข่าวคราวทำนองนี้เกิดขึ้นเนืองๆ อันเป็นธรรมดาของยุคนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายทางความคิดความเชื่อ รวมทั้งมีการปะทะทางศาสนาและวัฒนธรรมอยู่เสมอ ความรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเคารพเทอดทูนถูกละเมิดหรือจ้วงจาบ นับวันจะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี้คือโจทย์ประเภทหนึ่งที่คนทุกฝ่ายทุกความเชื่อจะต้องเตรียมตัวรับมือ สำหรับชาวพุทธ การตอบโต้พฤตกรรมดังกล่าวมิอาจเป็นอื่นได้ นอกจากการใช้สันติวิธี เพราะนั่นคือสิ่งที่ยืนยันความเป็นชาวพุทธอย่างแท้จริง
อย่าว่าแต่การกล่าวร้ายหรือจ้วงจาบสิ่งที่เรารักเลย แม้กระทั่งเมื่อมีผู้ทำร้ายเรา พระพุทธองค์ก็ได้ให้ข้อธรรมเตือนใจว่า “หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีจิตคิดร้ายแม้ในโจรพวกนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ จักหวังอนุเคราะห์สิ่งที่เป็นประโยชนั มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน แผ่เมตตาจิตไปถึงบุคลนั้น”
ความถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่ถ้ายึดติดถือมั่นมาก ก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ผิดได้
การจ้วงจาบพระพุทธรูป ทำลายวัดวาอารามนั้น ไม่สามารถทำให้พุทธศาสนาคลอนแคลนได้ ตราบใดที่ชาวพุทธยังมั่นคงในหลักธรรม แต่เมื่อใดที่ชาวพุทธประพฤติตนคลาดเคลื่อนจากหลักธรรมแล้ว แม้มีพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลก มีวัดวาอารามที่งดงามมาก สถานะของพุทธศาสนาก็นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ความเคารพในพระพุทธรูปหรือสัญลักษณ์ในพุทธศาสนา เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธ สามารถน้อมใจให้เป็นกุศล เกิดศรัทธาในการทำความดีได้ แต่ถ้ายึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นจนกลายเป็น “ตัวกู ของกู”ขึ้นมา มันก็สามารถผลักดันให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ แทนที่จะทำเพื่อปกป้องศาสนา อาจกลายเป็นการทำเพื่อปกป้อง “ตัวกู ของกู” ก็ได้ ซึ่งลงท้ายกลายเป็นการบั่นทอนศาสนาหรือสิ่งที่ตนเทอดทูนสักการะ ดังที่กำลังเกิดขึ้นโดยพระพม่าและศรีลังกาที่ใช้ความรุนแรงกับชาวมุสลิมในนามของการปกป้องพุทธศาสนาในเวลานี้
ไม่ใช่แต่พุทธศาสนาเท่านั้น อุดมการณ์อันสูงส่งใดๆ หากยึดติดถือมั่นเสียแล้ว ก็สามารถส่งผลให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับอุดมการณ์เหล่านั้นก็ได้ ในทำนองเดียวกันยิ่งยึดมั่นในความดีความถูกต้องมากเท่าไร ก็อาจลืมตัวจนทำสิ่งที่ผิดก็ได้ นี้ใช่ไหมที่ทำให้คนดีๆ เห็นด้วยกับการฆ่าตัดตอนพ่อค้ายาเสพติด หรือเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนจนตายคาที่ รวมทั้งทำให้ผู้รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ พากันกลุ้มรุมทำร้ายและทรมานนักศึกษาในเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ จนถึงตาย
“ถึงความเห็นของเราจะถูก แต่ถ้าเรายึดเข้าไว้ มันก็ผิด” คำสอนสั้นๆ ของหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง สามารถเตือนใจทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่เฉพาะกับชาวพุทธเท่านั้น