ทางเลือก: ศีลธรรมในใจกับสังคมภายนอก

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ 29 มกราคม 2012

คู่ชีวิต สามี ภรรยา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเนิ่นนาน แต่แล้วโชคชะตาก็มาเยี่ยมเยือน ภรรยาล้มป่วยและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย กระนั้นโชคชะตาก็ไม่เลวร้ายเสียทีเดียว เนื่องเพราะมะเร็งนี้ยังมีหนทางรักษา แต่ค่ายาที่รักษานี้ราคาแพงมาก สมมุติราคาอยู่ที่หกแสนบาท

สามีพยายามทำทุกวิถีทาง ขายบ้าน ขายทรัพย์สิน หยิบยืมเงินทอง ขอความช่วยเหลือ ก็รวบรวมมาได้ราวสี่แสนบาท  สามีนำเงินค่า รักษามาให้โรงพยาบาล พร้อมกับคาดหวังว่าทางโรงพยาบาลจะเห็นใจ ยอมลดหย่อนค่ารักษาหรือยอมให้ผ่อนชำระ  แต่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ช่วยเหลือ ไม่ได้มีความกรุณาดังที่คาดหมาย  สามีดิ้นรนทุกทางขณะที่อาการของภรรยาก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ  ต่อมาชายหนุ่มมาทราบว่าต้นทุนการรักษาพยาบาลก็ไม่ถึงสามแสนบาท แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่จะต่อรองค่ารักษาพยาบาล  ทางรอดสุดท้ายที่คิดออก คือ สามีอาจต้องทุจริตทรัพย์สินของบริษัทที่ทำงาน หรืออาจต้องใช้เช็คปลอมเพื่อหลอกลวงกับทางโรงพยาบาล หรือขโมยยา  แต่ทุกทางก็เป็นการทำผิดศีลธรรมทั้งสิ้น

สมมุติว่าสามีคนนี้มาขอคำปรึกษากับเราในฐานะที่พึ่งสุดท้าย เราจะให้คำแนะนำอะไร อย่างไร

นี่คือตัวอย่างเรื่องราวความขัดแย้งที่นักจิตวิทยาการศึกษาท่านหนึ่งได้ใช้เป็นประเด็นศึกษา และทำความเข้าใจในเรื่องการเรียนรู้และปฎิสัมพันธ์ที่มีต่อเรื่องศีลธรรม

ลอเรนซ์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) อธิบายว่า สำหรับเด็กเล็ก มุมมองต่อเรื่องศีลธรรมเป็นอะไรที่ง่าย ตรงไปตรงมา  สิ่งที่เด็กเล็กเรียนรู้คือ การเชื่อฟังและความหวั่งเกรงต่อการถูกลงโทษ  เด็กเล็กบางคนมองว่าไม่ควรขโมยเพราะมันผิดศีลธรรม แต่เด็กเล็กบางคนก็อาจเห็นด้วยกับการขโมย  สำหรับเด็กเล็กแล้วเรื่องของศีลธรรมเป็นอะไรที่ควรเชื่อฟัง และหากไม่เชื่อฟังก็เป็นเพราะเหตุผลอะไรบางอย่างที่ง่าย ไม่ซับซ้อน

ขณะที่เด็กโต วัยรุ่นที่เริ่มมีการรู้คิด รู้อ่าน  พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป พวกเขามีคนอื่นเกี่ยวข้องด้วย  ความประพฤติของพวกเขา หลักศีลธรรมที่ยึดถือนั้นสัมพันธ์กับการยอมรับของหมู่คณะที่เด็กโตเหล่านั้นสังกัดอยู่  ความประพฤติหรือการมีศีลธรรมในระดับช่วงวัยนี้จึงขึ้นกับค่านิยมของหมู่คณะ  แรงจูงใจทางศีลธรรมในขั้นนี้เริ่มมีความซับซ้อน เพราะหมู่คณะมีอิทธิพลต่อการคิดนึกและปฏิบัติของช่วงวัยนี้  ความนึกคิดทางศีลธรรมในช่วงขั้นตอนเปลี่ยนผ่านนี้ ยึดโยงกับการยอมรับและความมุ่งหวังเพื่อเป็นที่รักของคนพิเศษ เช่น พ่อแม่ คนที่มีความหมายกับชีวิต  ความคิดเติบโตก้าวขึ้นโดยพัฒนาศีลธรรมในลักษณะขยาย คือ มองเห็นประเด็นศีลธรรมในลักษณะเชื่อมโยงกับมิติของหมู่คณะ  ผลลัพธ์การตัดสินใจจึงอาจคล้ายคลึงกับเด็กเล็ก แต่สิ่งที่แตกต่างคือ มีมิติความซับซ้อนในเชิงเหตุผลที่มากขึ้น

ก้าวขึ้นสู่พัฒนาการของวัยผู้ใหญ่  ผู้ใหญ่ในฐานะผู้มีวุฒิภาวะ มิติการคิดนึกกว้างไกลและลึกซึ้งมากขึ้น  ผู้ใหญ่วัยนี้มองศีลธรรมในแง่ข้อตกลงสัญญาประชาคมและสิทธิขั้นพื้นฐาน เหตุผลการคิดนึกต่อเรื่องศีลธรรมไม่ได้มาจากใครคนหนึ่งเป็นผู้กำหนด แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีสิทธิ์ มีเสียงที่จะบอกเล่า หรือมีส่วนร่วมต่อคำถามที่มีต่อสังคม เช่น “สังคมที่ดี เกิดขึ้นได้อย่างไร”  มีมุมมองที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า สิทธิ และหน้าที่ที่พึงมี พึงยึดถือ  หลักศีลธรรมหรือจริยธรรมของสังคมจึงยึดโยงกับความเป็นประชาธิปไตย

กระนั้นเสียงของมติคนส่วนใหญ่หรือการถือหลักประชาธิปไตยก็อาจไม่ใช่คำตอบถูกต้องสำเร็จรูป เพราะความถูกต้องของคนส่วนใหญ่กลุ่มหนึ่งอาจหมายถึงการทำร้ายคนส่วนใหญ่อีกกลุ่มหนึ่ง เช่น การบริโภคที่เกินความพอดีย่อมหมายถึงการเบียดเบียนทรัพยากรของสังคมโลกโดยรวม  มิติศีลธรรมจึงต้องเป็นเรื่องของหลักการสากล: ความเมตตากรุณา ความรัก สันติวิธี การไม่เบียดเบียน  หลักกฎหมายจึงต้องตอบสนองหลักการศีลธรรมสากลผ่านระบบความยุติธรรม ความเสมอภาค  การให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพในความคิดและการแสดงออก

สำหรับเด็กเล็ก มุมมองต่อเรื่องหนึ่งๆ จะเป็นอะไรที่ง่ายตรงไปตรงมา เมื่อโตขึ้นก็จะเริ่มมีความซับซ้อนในเชิงเหตุผลมากขึ้น จนถึงวัยผู้ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องหน้าที่และสิทธิเสรีภาพของตน

แล้วปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน  ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาความรุนแรงต่างๆ ก็มากขึ้นทั้งจากภัยธรรมชาติและภัยจากแนวคิดการเมือง ผลประโยชน์ ความเชื่อที่ขัดแย้งและไม่ประสานกัน  กับดักสำคัญที่ทำให้เรื่องราวเช่นนี้รุนแรง ก็คือความเชื่อที่ว่า “เราถูก  คนอื่นต่างหากที่ผิด”  ความเชื่อนี้จึงเป็นแรงผลักที่ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่เกิดการรับฟัง  ข้อสังเกตจากคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ใหญ่สำคัญของสังคมไทยตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า “คนไทยจำนวนหนึ่ง ‘ฟังไม่เป็น คิดไม่ออก พูดไม่จริง และทำไม่ถูก’ ”  เราแต่ละคนจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากทีเดียวที่อาจตกอยู่ในกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่คุณอานันท์หมายถึงก็ได้ และเช่นนั้นก็หมายถึงว่าเรามีส่วนร่วมในการทำร้ายคนอื่น ทำร้ายสังคม

ศีลธรรมในฐานะหลักความประพฤติที่มีอยู่ในใจเรา จึงต้องมีการทบทวนเรียนรู้และตรวจสอบเสมอ เพราะเป็นไปได้อย่างมากที่เราอาจเผลอตกอยู่ในกับดักและใช้ศีลธรรมในระดับต่ำกว่าวุฒิภาวะที่พึงเป็น และนั่นคือเรื่องน่ากลัวของทุกคนในสังคม


ภาพประกอบ

ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

ผู้เขียน: ชัยยศ จิรพฤกษ์ภิญโญ

นอกเหนือจากบทบาทนักเขียนประจำคอลัมน์ งานสำคัญ คือ กระบวนกร นักจิตปรึกษา, enneagram coach สนใจและรักที่จะทำงานด้านการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงกับโลกภายในผ่านทักษะ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งงานอบรม การทำจิตปรึกษา และงานเขียน