วิกฤตต่างๆ ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม การทำลายทรัพยากร ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน รวมไปถึงปัญหาความเครียด ความทุกข์ กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วมีรากเหง้ามาจาก วิกฤตการณ์ทางจิตวิญญาณ หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ มีสาเหตุมาจากปัญหา “ตัวตน”
ปัญหาตัวตนเป็นปัญหาสำคัญของคนยุคนี้ พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าคนสมัยก่อนไม่มีตัวตน เป็นแต่ว่าคนสมัยก่อนมิได้ถือว่าตัวตนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างคนสมัยนี้ ที่สำคัญก็คือเขามองว่าตัวตนของเขาแยกไม่ออกจากครอบครัว ชุมชนและธรรมชาติ แต่พอมาถึงยุคนี้ผู้คนพากันเน้นเรื่องตัวตนกันมาก เพราะมองโลกอย่างแยกส่วน คือมองตัวเองว่าแยกขาดจากคนอื่น แยกขาดจากสิ่งแวดล้อม และเมื่อเรามองตัวเองแยกขาดจากสิ่งอื่นแล้ว ถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้ว ความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้ง่ายและมากเพราะอะไรต่ออะไรก็มากระทบถึงตัวหมด
ปัญหาตัวตนของคนยุคนี้ที่แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ ความไม่พอใจในตัวตน คนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ถูกทำให้รู้สึกไม่พอใจในตัวตนของตน เห็นว่าอ้วนบ้าง ไม่ทันสมัยบ้าง จึงอยากจะมีตัวตนใหม่ วิธีสร้างตัวตนใหม่ของคนปัจจุบันก็คือ การบริโภคโดยเฉพาะการบริโภคสินค้าที่มียี่ห้อดัง เวลานี้สินค้ามียี่ห้อกลายเป็นที่นิยมมาก ไม่ใช่เพราะว่ามันอร่อย หรือสนองผัสสะทางกายเท่านั้น ที่สำคัญคือมันตอบสนองจิตใจที่ต้องการมีตัวตนใหม่ ผู้คนอยากมีรถเบนซ์ไม่ใช่เพราะนั่งสบายหรือถึงที่หมายไว แต่เพราะมันทำให้เราดูภูมิฐานและรู้สึกมั่นใจในตนเอง ในทำนองเดียวกันใครที่อยากเป็นผู้ชนะ ก็ต้องซื้อไนกี้มาใส่ เพราะใส่แล้วรู้สึกเหมือนไมเคิล จอร์แดน หรือไทเกอร์ วู้ด ถ้าต้องการยืนยันตัวตนว่าเป็นคนรักษาสิ่งแวดล้อม ต้องไปซื้อของร้านบอดี้ช็อป
สมัยก่อนผู้คนคิดว่า ถ้ากินดีหมีก็จะแข็งแรงเหมือนหมี กินอวัยวะสืบพันธุ์ของเสือ ก็จะมีพลังทางเพศแกร่งเหมือนเสือ ความเป็นเสือความเป็นหมีสามารถซึมซับเข้ามาสู่ตัวเราจากการกินอวัยวะเหล่านี้ คนสมัยนี้ก็คิดไม่ต่างกัน กล่าวคือคิดว่าเพียงแต่ใส่ไนกี้เท่านั้น ความเป็นไมเคิล จอร์แดนก็จะถ่ายทอดจากรองเท้าหรือยี่ห้อเข้ามาอยู่ในตัว เกิดเป็นตัวตนใหม่ขึ้นมา นี้คือความรู้สึกในจิตไร้สำนึกของคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการสร้างตัวตนใหม่ด้วยการบริโภคสินค้าชื่อดัง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการซื้อวัตถุ แต่ต้องการซื้อหรือบริโภคตัวตนที่ (เชื่อว่า) พ่วงติดมากับยี่ห้อเหล่านั้น
ความไม่พอใจตัวตนและพยายามสร้างตัวตนใหม่อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสบริโภคนิยมในเวลานี้ก็คือ การพยายามผ่าตัดเสริมทรง คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเพียงแค่เปลี่ยนร่างกาย เปลี่ยนทรวดทรง ก็เท่ากับเปลี่ยนตัวตน ดังนั้นพอไปผ่าตัดเสริมทรง ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ก็รู้สึกขึ้นมาว่าเป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ ทัศนคติแบบนี้กำลังจะเป็นปัญหามาก เพราะเดี๋ยวนี้คนจำนวนไม่น้อย เริ่มที่จะเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดกับน้ำหนักร่างกาย คนเดี๋ยวนี้เอาคุณค่าของตัวเองไปขึ้นตาชั่งกันแล้ว ถ้าตาชั่งบอกว่าคุณมีน้ำหนักมาก แสดงว่าคุณค่าของคุณมีน้อย เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวเอง ก็ต้องไปลดน้ำหนัก หรือไม่ก็ไปเปลี่ยนทรวดทรง ดูดไขมัน เปลี่ยนหน้าอก เพื่อจะได้เป็นคนใหม่
เมื่อเรามองตัวเองแยกขาดจากสิ่งอื่น และถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้ว ความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้ง่าย เพราะอะไรต่ออะไรก็มากระทบถึงตัวหมด
มองให้ลึกลงไป เราไม่เพียงต้องการสร้างตัวตนใหม่เท่านั้น หากยังต้องการสร้างความหมายและคุณค่าให้แก่ชีวิตของเรา ทุกคนต้องการชีวิตที่มีความหมาย ความหมายของชีวิตจะได้มาจากไหน เวลานี้คนจำนวนมากคิดว่าสามารถได้จากการบริโภควัตถุและบริการ วัตถุและบริการกลายเป็นตัวให้ความหมายและคุณค่ากับชีวิต ชีวิตจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีสิ่งเสพสิ่งบริโภค คนจำนวนไม่น้อยจึงรู้สึกเป็นทุกข์ ไม่พอใจในตนเองเพราะขาดสิ่งเสพเหล่านี้ เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย ทางเดียวที่จะเพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิตก็คือไปหาวัตถุยี่ห้อดังๆ มาเสพ วัตถุกลายเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายของชีวิต
สมัยก่อนศาสนาเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายต่อชีวิต ชีวิตของคุณจะมีคุณค่า มีความหมายก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น ให้ทาน รักษาศีล มีเมตตากรุณา เป็นต้น หรือไม่ก็ต้องทำตามบัญชาของพระเจ้า แต่พอศาสนาเริ่มเสื่อมอิทธิพล ผู้คนไม่เชื่อเรื่องศาสนา จึงไม่รู้จะเอาอะไรมาให้คุณค่าและความหมายแก่ชีวิต สุดท้ายก็ไปหาวัตถุ แต่ก่อนวัตถุจะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อถูกกำหนดโดยศาสนาเช่น น้ำมนตร์ หรือผ้ายันต์ เป็นต้น พูดอีกอย่างคือแต่ก่อนวัตถุเป็นตัวรองรับคุณค่าและความหมายโดยมีศาสนาเป็นตัวกำหนด แต่พอศาสนาเสื่อมบทบาทไป วัตถุก็เริ่มเปลี่ยนสภาพจากที่เคยเป็นตัวรองรับความหมายและคุณค่าจากศาสนา กลายมาเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายแก่มนุษย์เสียเอง คือมาทำหน้าที่แทนศาสนาเสียเอง
เวลานี้วัตถุเป็นตัวให้คุณค่าความหมายแก่คนทั้งโลก จากจุดนี้เองที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมทั่วโลก ปัจจุบันบริษัทใหญ่ๆ ประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ผลิตสินค้าแล้ว เขาจะผลิตคุณค่าและความหมายแทน คือผลิตและสร้างยี่ห้อเป็นหลัก เช่น ไนกี้เดี๋ยวนี้ไม่ผลิตรองเท้าแล้ว โดยโอนการผลิตไปให้โรงงานในเวียดนาม จีน อินโดนีเซียทำแทน ส่วนบริษัทไนกี้จะทำหน้าที่สร้างยี่ห้อให้มีเสน่ห์หรือมนต์ขลังมากขึ้นๆ พูดง่ายๆ คือ ใครจะผลิตรองเท้าก็ได้ ไนกี้จะทำหน้าที่ประทับตรา ทำให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและความหมายขึ้นมาทันที
บริษัทชั้นนำในปัจจุบันทำหน้าที่ “เสก” ให้วัตถุมีคุณค่าขึ้นมา แล้ววัตถุนั้นก็ไปกำหนดคุณค่าของคนซื้ออีกที กระบวนการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าและความหมาย จึงไปหาเอาจากวัตถุหรือยี่ห้อ ยี่ห้อจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อจิตใจของผู้คนมาก
ปัญหาก็คือตัวตนใหม่ที่ได้จากวัตถุหรือยี่ห้อนั้นหาได้ยั่งยืนไม่ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่มันให้จริงๆ คือภาพลักษณ์ต่างหาก ซึ่งไม่คงทน ล้าสมัยง่าย ซื้อมาประดับกายได้ไม่กีปีก็ต้องหารุ่นใหม่มาแทน อีกทั้งยังด้อยคุณค่าหากคนอื่นใช้ยี่ห้อที่แพงกว่า อัครฐานมากกว่า วัตถุหรือยี่ห้อจึงไม่สามารถให้ความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง ถึงที่สุดแล้วเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนได้อย่างแท้จริงด้วยการบริโภค หากต้องอาศัยการปฏิบัติ ซื้อยี่ห้ออะไรก็ไม่สามารถทำให้เราเป็นคนเก่งหรือลูกผู้ชายตัวจริงได้ นอกจากการฝึกฝนตนให้มีความสามารถและคุณธรรม
ที่สำคัญก็คือการแก้ปัญหาตัวตนที่ได้ผลอย่างแท้จริง มิได้อยู่ที่การแสวงหาตัวตนใหม่ที่ดีกว่าเดิม หากอยู่ที่การก้าวพ้นจากเรื่องตัวตน หรือสละตัวตนนั่นเอง ปัญญาที่ทำให้เราตระหนักว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นหามีไม่ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเราปลดเปลื้องปัญหาตัวตนอย่างถึงที่สุด