เป็นสุขทุกขณะจิต เมื่อชีวิตไม่ติดลบ

พระไพศาล วิสาโล 4 มกราคม 2004

เวลากินข้าว  เราไม่เพียงตักอาหารบำรุงเลี้ยงร่างกายเท่านั้น  หากยังเป็นโอกาสที่เราจะได้บำรุงเลี้ยงจิตใจด้วย โดยเฉพาะเมื่อเรากินอย่างมีสติ รู้จักประมาณในการกิน  กินอย่างรู้คุณค่าที่แท้จริงของอาหาร และด้วยสำนึกในบุญคุณของทุกชีวิตที่นำอาหารมาให้เรา  สติและสำนึกดังกล่าวจะช่วยบ่มเพาะจิตใจของเราให้งดงามและเป็นกุศล นำไปสู่ชีวิตที่สงบเย็นและมีเมตตา

เวลาหายใจ  เราไม่เพียงดูดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเท่านั้น  หากยังเป็นโอกาสที่เราจะนำเอาความสงบเย็นไปหล่อเลี้ยงจิตใจด้วย  ในยามเครียดหรือเกิดโทสะ ลองหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก ๕-๑๐ ครั้ง จิตจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ  จะพบว่าความเครียดบรรเทาลง และจิตใจหายรุ่มร้อน  ยิ่งในยามปกติด้วยแล้ว การหายใจอย่างมีสติจะช่วยให้จิตสงบนิ่ง มั่นคงแต่อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม

เวลาเดิน  เราไม่เพียงพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้น  หากยังเป็นโอกาสที่เราจะพาใจให้เข้าถึงความผ่อนคลาย เป็นสมาธิ  เมื่อเดินอย่างมีสติรู้ตัวในทุกย่างก้าว  ไม่กังวลกับจุดหมาย ไม่สนใจว่าต้องเดินอีกไกลเท่าใด ไม่เร่งเร้าว่าเมื่อไหร่จะถึง  เมื่อนั้นเราจะเป็นอิสระจากระยะทางและเวลา  การเดินจึงกลายเป็นการพักใจในทุกก้าว  แม้กายเหนื่อย แต่ใจหาเหนื่อยไม่

ทุกอิริยาบถ ทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน  แม้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของร่างกายล้วนๆ แต่แท้ที่จริงแล้วมีมิติด้านจิตใจมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ  เป็นมิติที่มากไปกว่าการใช้สมองหรือความคิด หากเป็นมิติที่สัมพันธ์กับความปกติสุข (หรือความทุกข์) ในระดับจิตวิญญาณ  ทุกขณะและทุกการกระทำของเราล้วนแยกไม่ออกจากมิติทางจิตใจ กล่าวคือล้วนส่งผลต่อจิตใจ  ไม่ว่าในทางบ่มเพาะหรือบั่นทอน  หล่อเลี้ยงหรือตัดรอนความสงบเย็นของชีวิตด้านใน

ชีวิตที่สนใจแต่มิติด้านกายภาพ มุ่งตักตวงความสุขทางกาย หรือความพรั่งพร้อมทางวัตถุ โดยไม่คำนึงถึงมิติด้านจิตใจ  เอาแต่ปรนเปรอร่างกาย โดยละเลยการบำรุงเลี้ยงจิตใจ  ชีวิตดังกล่าวย่อมเป็นชีวิตที่ยากจะพบกับความสงบสุข มีแต่จะรุ่มร้อนเพราะความอยากที่ไม่รู้จักพอ  ขณะเดียวกันจิตใจก็แส่ส่ายทุรนทุรายเนื่องจากขาดความสุขที่แท้ จึงต้องดิ้นรนแสวงหาโดยนึกว่าทรัพย์สมบัติจะนำความสุขที่แท้มาให้  แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง จึงต้องดิ้นรนแสวงหาต่อไปไม่รู้จบ  ชีวิตเช่นนี้เป็นชีวิตที่ติดลบ แม้จะมีทรัพย์สมบัติท่วมหัวก็ตาม

มนุษย์ทุกคนย่อมปรารถนาความสงบเย็นภายใน  ความสงบเย็นแบบนี้หาซื้อไม่ได้  จะได้มาก็จากชีวิตด้านในที่เจริญงอกงาม หรือจากจิตใจที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น  ผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตด้านในย่อมแสวงหาสิ่งดีงามมาบำรุงเลี้ยงจิตใจอยู่เป็นนิจ  สิ่งดีงามนั้นได้แก่ความปรารถนาดี (เมตตา)  การเผื่อแผ่และเสียสละ (จาคะ)  ความตั้งมั่นและความสงบใจ (สมาธิ)  ความรู้ตัวและไม่หลงลืม (สติ)  ความรู้ความเข้าใจในเรื่องชีวิตจิตใจ (ปัญญา) เป็นต้น

เพียงแค่หยุดคิดแล้วหันมามองดูตน เราย่อมเห็นได้ไม่ยากว่าอะไรคือสิ่งที่ชีวิตจิตใจของเราปรารถนาอย่างแท้จริง  แต่ในยุคนี้ดูเหมือนว่าทำเพียงเท่านี้ก็นับว่ายากแล้ว  เพราะนอกจากชีวิตจะเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาว่างแล้ว  แม้ในยามที่มีเวลาว่าง อะไรต่ออะไรก็พากันแย่งเวลาเราไปจนหมด ไม่ว่าโทรทัศน์ วีดีโอ โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต หรือสถานบันเทิง

ยิ่งกว่านั้นก็คือกระแสเงินตราที่ไหลบ่ามาแรง โดยเฉพาะสังคมไทยใน พ.ศ.นี้ และ พ.ศ.หน้า  ไม่เพียงสินทรัพย์จะถูกแปรเป็นทุนเท่านั้น หากแต่สรรพสิ่งก็กำลังถูกแปรเป็นเงินตรา  ขณะที่วัฒนธรรมของชาติกำลังถูกแปรเป็นวัฒนธรรมเชิงท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ  คาสิโนและโต๊ะพนันบอลก็ทำท่าจะเดินตามหวย คือถูกขุดขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อเป็นขุมเงินขุมทองให้รัฐ  เงินกำลังกลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของคนในชาติ และกลายเป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จและความเจริญของทุกสิ่ง ตั้งแต่บุคคล องค์กร ชุมชน ไปจนถึงประเทศชาติ  ใช่แต่เท่านั้นเงินยังทำท่าแพร่สะพัดสุดแต่ว่าใครจะไขว่คว้าได้แค่ไหน  ไม่ว่าเงินกู้ในรูปเครดิตการ์ดที่ธนาคารแข่งกันออก  เงินล้านที่หลั่งไหลสู่ชุมชนเพื่อเอาชนะความยากจน  และเงินลงทุนอีกหลายแสนล้านของรัฐบาลในโครงการนับไม่ถ้วน

ในยุคที่เงินตราเป็นตัวกำหนดทุกสิ่ง รวมทั้งความถูกต้อง จนแฟชั่น “นมหก” กลายเป็นเรื่องธรรมดาเพราะจำเป็นสำหรับการสร้างเมืองไทยให้เป็นตลาดแฟชั่นชั้นนำของโลก  การที่ผู้คนจะแลเห็นอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่าวัตถุเงินตรา ย่อมเป็นเรื่องยาก  อย่าว่าแต่เรื่องจิตวิญญาณเลย  แม้กระทั่งศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน หรือสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นเรื่องโลกย์ๆ ก็แทบไม่มีความหมายเสียแล้วเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ชีวิตที่เอาแต่ปรนเปรอร่างกาย โดยละเลยการบำรุงเลี้ยงจิตใจ  ชีวิตดังกล่าวย่อมเป็นชีวิตที่ยากจะพบกับความสงบสุข

ในยามที่เงินเป็นพระเจ้านี้ สิ่งสำคัญก่อนอื่นใดคือการมีสติยั้งคิด ไม่หลงใหลไปตามกระแสและหรือลุ่มหลงกับมายาภาพ จนลืมไปว่า มีเงินมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีความหมายหากชีวิตติดลบ  ติดลบเพราะหิวโหยความสงบเย็นภายใน  ชีวิตเช่นนี้ว่างเปล่าเพราะหาสาระที่แท้ของชีวิตไม่เจอ  ใช่หรือไม่ว่าในที่สุดชีวิตเช่นนี้ย่อมกลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ

ปีใหม่นี้ถึงแม้เงินจะปลิวว่อนในอากาศมากกว่าเดิม ก็อย่าหลงเพลินกับการไขว่คว้าเงินจนลืมชีวิตด้านในของตนเอง  พึงตระหนักว่าทุกขณะและทุกอิริยาบถล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตด้านใน  ลึกลงไปในทุกกิจกรรมคือโอกาสแห่งการบ่มเพาะจิตใจและการนำความสงบเย็นมาสู่จิตวิญญาณ  พยายามใช้ทุกกิจกรรมเพื่อการสร้างความไพบูลย์งดงามแก่จิตใจ แทนที่จะทุ่มเททุกหยาดเหงื่อให้กับการแสวงหาเงินตราและวัตถุสถานเดียว

ที่ขาดไม่ได้ก็คือการหาเวลาสงบๆ ให้แก่ตนเอง เพื่อไตร่ตรองมองตนและปล่อยวางจากสิ่งข้องขัดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน  เวลาดังกล่าวสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเติมความสงบเย็นให้แก่จิตใจ

ถ้าทำได้เช่นนี้ ชีวิตย่อมเต็มอิ่มและนำความสุขใจมาให้ทุกขณะจิต


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา