ตถาคตทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นก็ยังคงมีอยู่เป็นธรรมฐิติ คือภาวะที่ตั้งอยู่หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดานั่นเทียว พระพุทธองค์เพียงเป็นผู้ค้นพบ และนำมาเผยแผ่ให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย การค้นพบอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์นี้ ถ้าเปิดใจกว้างที่จะรับฟังและหันไปดูศาสนาอื่น ลัทธิอื่นบ้าง ก็จะพบสัทธรรมนี้เช่นกัน เพียงแต่สื่อออกมาคนละภาษาต่างกรรมต่างวาระกัน แต่กระนั้นก็ยังใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นคำว่าสัจธรรมมีหนึ่งเดียวที่ปรากฏในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ก็มีในลัทธิเต๋าและศาสนาอื่นด้วย เพียงแต่เราเข้าไปยึดถือไว้ จึงทำให้มีพุทธมีเต๋าเกิดขึ้น นั่นหมายถึงการไปยึดติดเพียงตราหรือยี่ห้อเท่านั้น โดยไม่เห็นแก่นแท้แห่งธรรม ซึ่งจะนำมาสู่ความขัดแย้งและแบ่งแยกว่านี่พุทธศาสนา นี่เต๋า นี่คริสต์ นี่อิสลาม การไปยึดติดกับทิฏฐิเช่นนี้นอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อตนเองแล้ว ยังนำความหายนะมาสู่สังคมมากกว่าคนที่ไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ
สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จทางไกลจากกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พร้อมกับภิกษุสงฆ์อีก ๕๐๐ รูป ในการเดินทางไกลครั้งนี้ มีสุปปิยปริพาชกและพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์เดินทางไปด้วย ระหว่างเดินทางนั้นสุปปิยปริพาชกกล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลายอย่าง ส่วนพรหมทัตมาณพกลับกล่าวยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลายอย่างเช่นกัน อาจารย์กับศิษย์มีถ้อยคำขัดแย้งกัน เมื่อเสด็จมาถึงที่ประทับแรมในอุทยานอัมพลัฏฐิกาพร้อมกับสาวก ทั้ง 2 ท่านก็ยังกล่าวติเตียนและยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อีกเช่นเคย พอรุ่งเช้าเหล่าภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่ง นั่งล้อมวงคุยกันถึงเรื่องที่พราหมณ์ทั้ง 2 กล่าวติเตียนและยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จเข้ามาไต่ถามสาวกที่นั่งคุยกันพอทราบความ พระพุทธองค์ก็ตรัสอย่าให้ภิกษุสงฆ์ผูกอาฆาตแค้นเคืองขุ่นใจ โกรธ ไม่พอใจ ซึ่งจะทำให้ประสบอันตรายคือ เป็นอุปสรรค์ต่อการบรรลุธรรมขั้นสูง ถ้าคำติเตียนนั้นเป็นเรื่องไม่จริง ก็ควรชี้แจงให้เห็นชัดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่มี ไม่ปรากฏในหมู่ภิกษุสงฆ์ แต่ถ้ามีผู้ยกย่องก็ไม่ควรเริงดีใจ กระหยิ่มใจต่อคนพวกนั้น ซึ่งจะทำให้เป็นอันตรายคือเป็นอุปสรรค์ต่อการบรรลุธรรมขั้นสูงอีก ถ้าจริง ถ้าถูกต้องมีอยู่ในหมู่ภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ก็ทรงให้ยืนยันชัดลงไปว่ามีอยู่จริง ถูกต้อง ปรากฏในหมู่ภิกษุสงฆ์
การไปยึดติดเพียงตราหรือยี่ห้อ โดยไม่เห็นแก่นแท้แห่งธรรม จะนำมาสู่ความขัดแย้งและแบ่งแยกว่านี่พุทธศาสนา นี่เต๋า นี่คริสต์ นี่อิสลาม
ท่าทีที่พระพุทธองค์ประพฤติปฎิบัติตรัสแก่สาวกเช่นนี้ ไม่มีในศิษย์ของตถาคตปัจจุบันกันเลย การปลุกระดม เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้ผู้อื่น หรือเชื่ออย่างงมงายไร้ปัญญานั้น ไม่ปรากฏมีตลอดกาลพระชนชีพของพระพุทธองค์เลย ในทางตรงกันข้ามพระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงรังเกียจ มุ่งร้ายเจ้าลัทธิและพวกเดียร์ถีย์อื่น มิหนำซ้ำยังเป็นมิตรและทรงพยายามทำความเข้าใจกันให้ได้เสียอีก
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน โลกาภิวัตน์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เชื่อมประสานคนทุกมุมโลกเข้าหากัน เสมือนหนึ่งเราร่วมอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ใครทำอะไรที่ไหนสามารถรับรู้ถึงกันหมด ทำให้อดคิดถึงปณิธาน 3 ประการของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่า ให้ศาสนิกแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ให้ทำความเข้าใจระหว่างศาสนา และร่วมกันหาทางออกมาเสียจากอำนาจวัตถุนิยมนั้น เป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังควรสำเหนียก ในสังคมปัจจุบันเราไม่ควรให้ความไร้พรมแดนเฉพาะแต่เทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น ที่เชื่อมสัมพันธ์เราเข้ากับคนอื่นในหมู่บ้านโลก หากแต่ความไร้พรมแดนระหว่างศาสนาก็ควรที่จะร่วมกันสร้างขึ้นมาให้ได้ เพื่อที่จะดึงคนในสังคมที่หลากหลายออกเสียจากอำนาจวัตถุนิยม หาไม่แล้วศาสนานิยมก็จะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงหัวใจของแต่ละศาสนา และนำมาซึ่งความขัดแย้งได้ และสังคมจะเป็นปกติสุขได้อย่างไร เมื่อเราไม่ย่อมรับความหลากหลายทางศาสนา ความเชื่อ ลัทธิ นิกายที่ไม่เหมือนเรา