๒๗ พฤษภาคม ปีนี้เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปีแห่งชาติกาลของท่านพุทธทาสภิกขุ ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของไทยในศตวรรษนี้
มหาบุรุษในทางการเมืองนั้น หาได้ไม่ยาก แต่มหาบุรุษในทางธรรมนั้น ร้อยปีจะมีสักคนหนึ่ง หรืออย่างมากก็สองคน ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นหนึ่งในนั้น
ชีวิตและงานของท่านไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะผู้คนในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มีคุณค่าต่อคนทั้งโลก เพราะท่านทั้งสอนและเป็นแบบอย่างแห่งการเข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นคืออิสรภาพและความสงบเย็น ชีวิตของท่านมีขึ้นเพื่อเป็นกำลังใจให้มนุษย์ทุกคนพากเพียรเอาชนะกิเลสตัณหา และรู้เท่าทัน “ตัวกู ของกู” ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งมวล ในขณะที่คนทั้งโลกพากันดิ้นรนไขว่คว้ายศทรัพย์อำนาจให้ได้มากที่สุด ท่านกลับชักชวนให้เราสัมผัสกับความสุขที่เกิดจากการปล่อยวาง และตระหนักถึงความไร้สาระของโลกธรรมทั้งปวง
ใช่หรือไม่ว่า “สะอาด สว่าง สงบ” คือสิ่งที่เราปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจ น้อยคนนักที่สามารถเตือนสติให้เราระลึกถึงความจริงดังกล่าว ในยามที่ผู้คนเห็นว่าการหลุดพ้นจากความทุกข์เป็นเรื่องเพ้อฝัน ท่านพุทธทาสภิกขุกลับย้ำให้เรามั่นใจว่า “นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้” เป็นไปได้
ไม่ง่ายนักที่พระบ้านนอกซึ่งเก็บตัวอยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญ แต่กลับมีความคิดล้ำสมัย สามารถสื่อธรรมได้จับใจปัญญาชนและชนชั้นนำในมหานคร แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือ คนที่กล้าทวนกระแสสังคม และยืดหยัดมั่นคงในการประกาศธรรมโดยไม่หวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ แม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ยังไม่หยุดที่จะแหวกขนบและท้าทายมายาคติของยุคสมัย ขอเพียงได้ทำหน้าที่เยี่ยงทาสของพระพุทธเจ้าอย่างดีที่สุด ในยามที่การเมืองเต็มไปด้วยความฉ้อฉล มีพระผู้ใหญ่กี่รูปที่กล้าเรียกร้องให้นำธรรมะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง ยิ่งคนที่กล้าพูดถึง “ธัมมิกสังคมนิยม” ด้วยแล้ว นอกจากท่านพุทธทาสภิกขุแล้ว ก็หามีใครอื่นไม่
แม้คนไทยทุกวันนี้ที่รู้ข่าวท้าวมหาพรหมถูกทุบ จะมีจำนวนมากกว่าผู้ที่รู้จักท่านพุทธทาสภิกขุ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองไทยจะตกต่ำไปกว่านี้แน่หากไร้บุคคลอย่างท่านพุทธทาสภิกขุ
อ่านจดหมายข่าวพุทธิกาฉบับอื่นๆ ได้ ที่นี่