การตายคือการดำเนินชีวิต

สุวีโร ภิกขุ 25 มกราคม 2009

“เมื่อความตายมาเยือน  ไม่แสดงสัญญาณใดๆ ในเสียงจั๊กจั่น” (๑๖๔๔-๑๖๘๔)

บาโชเขียนกวีบทนี้เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน แต่ยังคงแสดงสัจธรรมแห่งชีวิตอย่างซื่อตรง พิสูจน์ได้ แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หากคำว่า “ตาย” เป็นชีวิตหนึ่ง มันก็เป็นชีวิตที่ยืนยงก้าวข้ามยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงมากมาย ถึงแม้ว่าผู้คนจะหลงลืมความตายกับหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติต่อมัน แต่กระนั้นก็ยังมิได้มีใครอาจหาญต่อกรกับความตายโดยการไม่ตายได้จริงสักคน ธรรมชาติของความจริงในชีวิตที่มีการตายอยู่เบื้องหน้าจึงยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างตรงไปตรงมาต่อไป

ในขณะที่เราได้ยินเสียงจั๊กจั่น นั่นหมายความว่าจะมีร่างลอกคราบวัยเด็กของมันถูกทิ้งเอาไว้ให้แก่โลก เสื้อเกราะสีน้ำตาลปริแตกออกตัวอ่อน ถอดรูปเปลือกทิ้งคราบสยายปีกใหม่คลุมแผ่นหลังยาวจากช่วงอกไปจนเลยส่วนท้อง คราบร่างไร้ชีวิตที่มันทิ้งไว้เป็นการตายจากรูปหนึ่งเพื่อกำเนิดอีกรูปหนึ่งในเวลาใกล้ๆ กันเป็นรูปที่ผิดแผกต่างกันไป  เสียงร้องของจั๊กจั่นที่เราได้ยินก็คือ เสียงหนึ่งในธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เสียงของมันไม่ได้สื่อสัญญาณอันใดเกี่ยวข้องกับความตายเลย แต่กลับแสดงความมีอยู่ของความตายทั้งจากซากร่างที่ถูกทิ้งเอาไว้ให้เราเห็นกับช่วงระยะตัวอ่อนในดิน

การไม่แสดงสัญญาณใดๆ มิได้หมายความว่า มิได้มีสิ่งใดปรากฏให้เห็น เพียงแต่สิ่งที่เราเห็น มันเห็นจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา กระทั่งใจเราเองยังรู้สึกชินชา หรือว่าไม่เห็นเพราะมันลึกลงไปในดินเหมือนกับความรู้สึกส่วนลึกในใจเรา ณ ที่ตรงนั้นความกลัวตายมักจะผุดขึ้นมาให้รู้สึกหวั่นไหวอยู่เสมอ  มีบางครั้งความตายก็สามารถทรมานเราได้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะเป็นในเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหตุของอาการกลัวตายอันหนึ่งก็มาจากการเพิกเฉยและแบ่งแยกความตายออกไปจากการดำเนินชีวิต นั่นเอง

เมื่อคนเราแยกหน้าที่ของความตายออกไป การดำเนินชีวิตของคนเราจึงเป็นการดำรงอยู่อย่างลืมตาย และมันก็กลายเป็นฉนวนกั้นสัญญาณความตายในธรรมชาติรอบตัว จนใจเราชาชินไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแม้ว่าจะเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นกำลังตายต่อหน้าต่อตา เพราะยังไงๆ เสียมันก็มิใช่ตัวเราอยู่ดี  ทั้งหมดนี้ส่งผลอะไรต่อชีวิตรึ? มันทำให้เราตายใจหรือว่านิ่งนอนใจไงล่ะ ผู้คนจำนวนมากมายจึงมีชีวิตอยู่เหมือนกับว่าจะดำรงคงอยู่เรื่อยไปไม่มีวันตาย

สาเหตุหนึ่งของอาการกลัวตาย มาจากการเพิกเฉยและแบ่งแยกความตายออกไปจากการดำเนินชีวิต

มีเพื่อนสูงวัยคนหนึ่งเคยพูดว่า

“กว่าจะรู้ตัวว่าแก่ ก็ใกล้ตายแล้ว ชั่วชีวิตคนเรานี้มันสั้นกว่าที่คิดนะ”

ส่วนอีกคนบอกว่า

“ถ้าชีวิตจบลงที่การตายจริงๆ อะไรๆ ที่เป็นอยู่มันก็คงจะง่ายกว่านี้นัก”

……..จริงหรือ?

ปิดเทอมในฤดูร้อนขณะกำลังจะขึ้น ป.๕  จำได้ว่าเสียงจั๊กจั่นดังก้องบ้าน เด็กๆ กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ด้วยกันข้างนอก แต่บรรยากาศร้อนแดดยามบ่ายทำให้เหล่าเด็กน้อยพากันย้ายที่ซ่อนเข้ามาในห้องเก็บของ ที่มีตู้เซฟนิรภัยวางเรียงรายอยู่ใกล้ๆ กับประตูเหล็กห้องเซฟของร้านทองและร้านเพชร เด็กคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ ใต้เงาที่ตั้งเอียงพิงผนังของประตูใหญ่หนาหนักขนาด ๔ คนแบกบานนั้น

ตกบ่ายคล้อย หลังจากเลิกเล่นซ่อนหา ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของพวกเด็กๆ อีก คงมีแต่เสียงจั๊กจั่นบรรเลงประสานกันราวกับเป็นมโหรีในงานศพ เวลานั้นยังมีเด็กที่เหลือหนึ่งคนซ่อนตัวอยู่ เขาไม่ได้ออกไปจากที่ซ่อนอีกเลยนับตั้งแต่เข้าไปหลบอยู่ใต้เงามืด แต่ตอนนี้ประตูเหล็กไม่ได้พิงเหมือนแต่แรก เนื่องจากมันได้เคลื่อนย้ายส่วนฐานห่างออกไปจากผนังหลายเมตร แล้วแนบบานประตูราบไปกับพื้น

ประตูบานนี้จึงไม่มีช่องว่างให้สิ่งใดซุกซ่อนได้ เสียงกระทบพื้นจากการเคลื่อนตัวของมันทำให้จั๊กจั่นแตกตื่นบินไปเกาะที่ใหม่ แรงสั่นสะเทือนของประตูก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนบริเวณนั้น มีเลือดไหลเจิ่งนองพื้นรวมกับชิ้นเนื้อเศษอวัยวะสาดทะลักออกมาจากประตูข้างใต้ แม่เป็นลมไปแล้ว ผู้เป็นพ่อหน้าซีดเผือด

“ประตูเหล็กหนัก  ทับร่างมิด  สิ้นใจ” (๒๕๒๓)

ความตายในชีวิตธรรมดาทั่วไปที่ไม่เกี่ยวกับเราอาจจะไม่สำคัญเลย ทว่าหากการตายของชีวิตนั้นส่งผลต่อการเรียนรู้ในตัวเรา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเดียรัจฉาน หรือเป็นแค่หมาวัดตัวหนึ่ง มันก็มีความหมายต่อการเข้าใจชีวิตที่เป็นอยู่อย่างยิ่ง

ทุกวันเจ้าน้ำตาลหมาขี้กลัวจะเดินส่งพระไปบิณฑบาตจนถึงทางแยกเข้าหมู่บ้านแล้วกลับก่อนเสมอ เพราะกลัวเกรงหมาจ้าวถิ่นจะมาทักทาย แต่หลังจากลมหนาวในฤดูผสมพันธุ์ผ่านเลยไป น้ำตาลเริ่มอุ้ยอ้ายท้องใหญ่เดินลำบากขึ้นและไม่อยากอาหาร มันคงไม่ใช่อาการท้องแน่ๆ! เมื่อคลำดูท้องก็ไม่มีสัญญาณชีพของชีวิตน้อยๆในนั้นเลย นอกเสียจากความเปล่งบวมจากน้ำข้างในตัวมัน ผิวหนังบริเวณส่วนก้นมีรอยช้ำคล้ายแผลกดทับ  หลังจากพาไปหาหมอ เราจึงรู้ว่าเจ้าน้ำตาลจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นานแล้ว อาการของโรคพยาธิหนอนหัวใจในขั้นนี้เกินกว่าคุณหมอจะเยียวยา สิ่งที่เราพอจะทำกันได้ในตอนนั้นก็คือ ดูแลมิให้มีแผลกดทับเกิดขึ้นกับเอาเข็มเจาะท้องเพื่อถ่ายน้ำที่คั่งค้างข้างในออกอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยคงทำให้มันสบายขึ้นบ้าง ก่อนที่จะตายจากกันไป

วันไหนที่น้ำตาลเดินไหว มันจะไปส่งพระเหมือนเดิม แต่มีเพียงวันเดียวเท่านั้นที่มันเดินตามพระเข้ามาในหมู่บ้าน และส่งเสียงร้องโหยหวน ไม่เคยมีใครได้ยินการกรีดร้องเช่นนั้นของมันมาก่อนเลย เว้นเสียแต่วันแรกที่มันถูกจับตัวออกมาจากโพรงหิน รังนอนที่แม่มาคลอดมันเอาไว้ เสียงโหยหวนดังอีกครั้งยาวนานและจบลง ไม่มีใครได้ยินเสียงใดๆ จากมันอีกแล้ว น้ำตาลได้ทำหน้าที่ของมันจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ใครฤาจะคิดว่า หมาวัดตัวหนึ่งจะมีความเพียรทำหน้าที่ประจำของมันได้ถึงเพียงนี้

ถ้าความตายอยู่ในดินเหมือนตัวอ่อนของแมลงจั๊กจั่น ฤดูกาลแห่งความตายก็จะฝังจมหมุนเวียนอยู่ในวงจรชีวิตใต้ดินไปจนกว่า จั๊กจั่นจะโผล่ขึ้นมาลอกคราบทิ้ง แล้วบินไป นั่นคือเวลาที่ความตายแสดงตัวให้เราประจักษ์เห็นอย่างชัดแจ้ง พร้อมๆ กันกับการได้ยินเสียงของมันถ่ายทอดบอกเล่ากันต่อไปตามวัฏจักรแห่งฤดูกาล พวกมันช่วยกันสานต่อหน้าที่นี้ในธรรมชาติ และบอกเราว่า ความตายเป็นหนึ่งเดียวกันกับการดำเนินชีวิต แม้เราจะยังไม่ได้เผชิญกับมันจริงๆ ก็ตาม  มันเป็นเรื่องสามัญธรรมดาที่ชีวิตจะมีความตายซุกซ่อนอยู่ เมื่อเวลานั้นมาถึงหากเรายอมรับหน้าที่นี้โดยดุษฎี และหมั่นเพียรลอกทิ้งคราบร่างที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่เสมอ การตายครานี้ก็จะช่วยปลดปล่อยพันธนาการมากมายออกไปจากที่ซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของเราได้


ภาพประกอบ