ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม : ระเบิดเวลาของสังคมไทย

พระไพศาล วิสาโล 1 ตุลาคม 2004

ตัดทอนจากปาฐกถาเรื่อง “เปิดหน้าต่าง สร้างสะพาน สมานใจ:ทางออกจากกับดักแห่งความรุนแรงในยุคทักษิณ” โดย พระไพศาล วิสาโล เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ ณ อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลาคม

ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมกำลังเป็นปัญหาที่น่าวิตกอย่างยิ่งในสังคมไทย  มันมิใช่อุบัติการณ์ที่ปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว หากแสดงตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่มาแห่งความรุนแรงที่เห็นจนชินตา อาทิ ความรุนแรงในครอบครัว แต่นับวันมันจะส่งผลให้เกิดความรุนแรงแบบรวมหมู่บ่อยขึ้น  ความกระเหี้ยนกระหือของประชาชนผู้รักชาติซึ่งร่วมก่อความรุนแรงในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้นมิใช่อุบัติเหตุหรือไร้ที่มา  มันสะท้อนถึงความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย และยังไม่หายไปไหน  หากยังปรากฏให้เห็นเนืองๆ ดังเห็นได้จากการแซ่ซ้องสรรเสริญของประชาชนเมื่อมีการสังหารหมู่พลพรรคก๊อดอาร์มี่ที่ราชบุรีเมื่อปี ๒๕๔๓ และเมื่อมีการฆ่าตัดตอนกว่า ๒,๕๐๐ ศพ เมื่อปี ๒๕๔๖ และล่าสุดคือเมื่อมีการสังหารผู้ก่อความไม่สงบถึง ๑๐๘ คนเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายนที่ผ่านมา  ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงความรุนแรงอีกมากมายในระดับที่เล็กลงมาทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว

ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมที่กำลังเป็นปัญหา ประการแรกคือ ความเชื่อที่ว่าคนชั่วนั้นไม่มีศักดิ์และสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ หากสมควรที่จะต้องกำจัดออกไป  ยิ่งเป็นฆาตกรด้วยแล้วต้องฆ่าให้ตายตกไปตามกันโดยไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรมหรือกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรที่สะท้อนทัศนะดังกล่าวชัดเจนเท่ากับคำพูดของเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งที่ว่า “ฆ่าคนขายยาบ้าบาปเท่ากับตบยุงตาย ๑ ตัว…อย่าให้มันอยู่รกแผ่นดิน ไม่ต้องให้มันไปติดคุก”  แม้ไม่ต้องพูดถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาซึ่งปฏิเสธการฆ่าในทุกกรณี เพียงมองในแง่กฎหมาย ทัศนะเช่นนี้มีแต่จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟเพราะสนับสนุนให้ไม่ต้องมีขื่อแปใดๆ ทั้งสิ้น

ทัศนคติดังกล่าวทำให้ผู้คนสมาทานลัทธิตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไปได้อย่างง่ายดาย  ด้วยเหตุนี้คนเป็นอันมากจึงเข้าใจไม่ได้เมื่อคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ มีข้อสรุปว่า การที่เจ้าหน้าที่ปาระเบิดเข้าไปในมัสยิดนั้นเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ  เพราะในทัศนะของคนจำนวนไม่น้อย ผู้ก่อความไม่สงบที่หลบอยู่ในมัสยิดนั้นสมควรตายสถานเดียว ไม่จำต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น  ความเชื่อว่าการแก้แค้นนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ใครๆ ก็ทำได้โดยไม่ต้องรอศาลยุติธรรม กำลังระบาดอย่างแพร่หลาย  เราจึงเห็นการรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์เกิดขึ้นเป็นอาจิณ ราวกับว่าพลเมืองดีมีสิทธิละเมิดกฎหมายหรือละเมิดศีลธรรมก็ได้หากกระทำกับคนชั่ว

ความรุนแรงนั้นมีพลวัตของมันเอง  ในด้านหนึ่งความรุนแรงจะพัฒนาไปในลักษณะที่ร้ายแรงมากขึ้น  ในอีกด้านหนึ่งเหยื่อของความรุนแรงก็จะตีวงกว้างขึ้น  ไม่ใช่แค่ฆาตกรหรือผู้ค้ายาบ้าเท่านั้น หากยังรวมไปถึง “ผู้ไม่รักชาติ” หรือคนที่ “ไม่ใช่ไทย” ดังที่นักศึกษาประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ได้ประสบมาแล้ว  และคนไทยในสามจังหวัดภาคใต้ได้ประสบมาตลอด ทั้งโดยถูกฆ่าอย่างเปิดเผยหรือถูกอุ้มหายตัวไป  ประเด็นนี้โยงไปสู่ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมประการต่อมา นั่นคือ ความเชื่อแบบชาตินิยมที่คับแคบ  ได้แก่ชาตินิยมแบบชาติพันธุ์ ที่ถือว่าเชื้อชาติไทยเท่านั้นที่เป็น “ไทย”  เชื้อชาติจีนหรือเชื้อชาติมลายูไม่มีสิทธิเป็นไทย  ยิ่งไปกว่านั้นชาตินิยมแบบชาติพันธุ์ดังกล่าวยังควบคู่กับชาตินิยมที่เน้นวัฒนธรรมจำเพาะ กล่าวคือ ต่อเมื่อนับถือศาสนาพุทธ และพูดไทยเท่านั้นถึงจะเป็น “ไทย”  ชาตินิยมดังกล่าวก่อให้เกิดความรุนแรงก็เพราะได้กดคนไทยจำนวนไม่น้อยที่นับถือศาสนาคริสต์หรืออิสลาม พูดไทยไม่ได้ ให้กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนที่มีเชื้อชาติไทยหรือนับถือศาสนาพุทธ  ชาตินิยมแบบคับแคบดังกล่าวแม้จะเพิ่งเกิดเมื่อ ๘๐ ปีมานี้ แต่ได้ฝังลึกและยังมีอิทธิพลไม่น้อยกับคนปัจจุบัน  เกษียร เตชะพีระเคยถามนักศึกษาในชั้นว่า “นักศึกษาคิดว่าตนเองเป็นคนไทยหรือไม่?” ปรากฏว่า ในจำนวน ๙๑ คนมีผู้ตอบว่า ตนไม่ได้เป็นคนไทย ๑๐ คน และตอบอย่างกำกวม ๒๔ คน  สาเหตุสำคัญก็เพราะผู้ตอบนั้นนับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ก็อิสลาม  เป็นลูกจีนหรือไม่ก็มีเชื้อแขก มิได้มีเชื้อไทยแท้ๆ [1]

ในระยะหลังชาตินิยมหรือความเป็นไทยที่คับแคบนี้ได้ถูกนำมาใช้กับคนที่มีความคิดเห็นต่างจากตน โดยไม่จำต้องเป็นความคิดทางการเมืองเท่านั้น  ไม่ใช่แต่คอมมิวนิสต์เท่านั้นที่ไม่ใช่ไทย  ใครก็ตามที่เห็นขัดแย้งกับคนส่วนใหญ่ในเรื่องประวัติศาสตร์หรือความเชื่อท้องถิ่น เช่น ตั้งคำถามเกี่ยวกับวีรกรรมของท้าวสุรนารี หรือไม่เชื่อว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ ทำโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือไม่เห็นด้วยกับการห้ามผู้หญิงเข้าไปชั้นในของพระเจดีย์ที่มีพระธาตุอยู่ข้างใต้ ก็ถูกกล่าวหาว่าไม่ใช่คนไทยไปในทันที  ผลที่ตามมาคือถูกกลุ่มพลังมวลชนเผาพริกเผาเกลือและสาปแช่ง  น่าสงสัยว่าหากผู้ที่เห็นขัดแย้งดังกล่าวตกอยู่ในท่ามกลางผู้ชุมนุมเหล่านั้น เขาจะรอดออกมาได้โดยสวัสดิภาพหรือไม่

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดขันติธรรมและเมตตาธรรมในหมู่คนไทย ซึ่งเป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมประการต่อมา  นับวันผู้คนจะยอมรับความเห็นที่ต่างจากตนได้ยาก และมีแนวโน้มที่จะมองเห็นคนเหล่านั้นเป็นศัตรู  เมื่อมองเห็นเป็นศัตรูย่อมรู้สึกชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงกับคนเหล่านั้นได้ง่าย อย่างน้อยก็ใช้ความรุนแรงทางวาจา ดังเห็นได้ทั่วไปตามเว็บบอร์ดต่างๆ ในแวดวงอินเตอร์เน็ต  น่าสังเกตว่ากระบวนการดังกล่าวจะเริ่มจากการขีดเส้นแยกอีกฝ่ายให้เป็น “คนอื่น” หรือ “พวกมัน” จากนั้นก็กดอีกฝ่ายให้มีสถานะต่ำลง  ที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายคือการตีวงให้อีกฝ่ายเป็น “เสียงส่วนน้อย” จากนั้นก็ประทับตราว่า “ไม่ใช่คนไทย” หรือตั้งคำถามว่า “เป็นคนไทยหรือเปล่า?” ตามมาด้วยการกล่าวหาว่า “ไม่รักชาติ”  เมื่อเป็นคนไม่หวังดีต่อชาติเสียแล้ว ก็ง่ายที่จะตีตราคาดโทษว่าเป็น “คนชั่ว” ถึงตรงนี้ก็ย่อมรู้สึกชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงกับคนเหล่านั้นอย่างน้อยก็ทางวาจา หากมีอำนาจก็ย่อมทำมากกว่านั้น  ทุกวันนี้วาทกรรมประชาธิปไตย ตามด้วยวาทกรรมชาตินิยม และตบท้ายด้วยวาทกรรมศีลธรรม กำลังถูกนำมาใช้สนับสนุนความคิดที่คับแคบและทัศนคติที่นิยมความรุนแรงอย่างเด่นชัดขึ้นทุกที  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวอย่างชัดเจนในการใช้วิธีการดังกล่าวกับผู้ที่เห็นต่างจากตน

อันที่จริงมีความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมอีกหลายประการ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึง อาทิ ทัศนคติที่ถือว่าผู้ชายเป็นใหญ่ในครอบครัว และดังนั้นจึงมีสิทธิที่จะใช้ความรุนแรงกับภรรยาหรือคู่ครอง โดยถือว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่คนอื่นไม่เกี่ยว  ทัศนคติดังกล่าวสร้างความทุกข์ทรมานแก่ผู้หญิงเป็นจำนวนมากในสังคมไทย  นอกจากนั้นยังได้แก่ทัศนคติรังเกียจคนจน เห็นคนจนเป็นคนขี้เกียจ ได้ไม่รู้จักพอ ถูกหลอกง่าย ไม่รู้จักคิด  ดังนั้นผู้คนทั่วไปรวมทั้งรัฐบาลเอง จึงมีความรู้สึกในทางลบต่อชาวนาชาวไร่ที่มาชุมนุมประท้วงเพราะเชื่อว่ามีมือที่สามมายุแหย่  รวมทั้งไม่รู้สึกอินังขังขอบที่เขาเหล่านั้นถูกเอารัดเอาเปรียบ  ทัศนคติดังกล่าวสนับสนุนให้ความรุนแรงเชิงโครงสร้างยังดำรงอยู่อย่างหนาแน่น

หากความรุนแรงทางกายภาพเป็นเรื่องของตัวบุคคล  และความรุนแรงเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องของระบบหรือโครงสร้างที่อยู่เหนือตัวบุคคล  ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมก็คือสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในจิตสำนึกของบุคคลซึ่งประกอบกันเป็นสังคม  ความรุนแรงในระดับจิตสำนึกนี้เองที่เป็นพื้นฐานให้กับความรุนแรงอีก ๒ ประเภท  ด้วยเหตุนี้หากต้องการให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปลอดจากความรุนแรงอย่างแท้จริง จำเป็นที่เราจะต้องช่วยกันขจัดความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมไปพร้อมๆ กับความรุนแรงเชิงโครงสร้าง

ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมที่เป็นปัญหาขั้นพื้นฐานก็คือ การขาดขันติธรรมและเมตตาธรรม  เมื่อครั้งที่หมอบรัดเลย์มาประกาศศาสนาคริสต์ที่เมืองไทยราวๆ ๑๕๐ ปีก่อน มีเรื่องเล่าว่าคราวหนึ่งหมอบรัดเลย์ได้ยืนประกาศศาสนาหน้าร้านขายพระพุทธรูป พร้อมกับโจมตีการนับถือรูปเคารพไปด้วย  หมอบรัดเลย์พูดโจมตีจนเหนื่อยเนื่องจากอากาศร้อน  เจ้าของร้านซึ่งนั่งฟังอยู่อย่างสงบ รู้สึกสงสารจึงเชิญหมอบรัดเลย์มานั่งพักในร้านและสอบถามว่าเหตุใดเขาจึงทำอย่างนั้น  ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ทุกวันนี้เราคงนึกได้ไม่ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหมอสอนศาสนาผู้นั้น  เห็นได้ชัดว่าขันติธรรมและเมตตาธรรมที่เจ้าของร้านแสดงออกมานั้นได้ขาดหายไปอย่างมากจากจิตใจของคนไทยทุกวันนี้  เรามีความยึดมั่นถือมั่นในความคิดกันมากขึ้น และทนความคิดเห็นที่ต่างออกไปได้น้อยลง  ที่จริงไม่ใช่แต่ความต่างทางความคิดเท่านั้น แม้ความต่างในด้านอื่นๆ ก็สามารถทำให้เกิดความแตกแยกกันได้ง่าย  อาทิ ความต่างทางศาสนา เชื้อชาติ ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา สถาบัน และแม้แต่ความต่างทางเพศและวัย

 

สู่วัฒนธรรมแห่งความสมานฉันท์

สังคมไทยจะหลุดจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมได้ ต้องเริ่มต้นจากการทำให้ขันติธรรมและเมตตาธรรมกลายมาเป็นวัฒนธรรมของสังคม  ขันติธรรมและเมตตาธรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงเมื่อเรารู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้อื่น  ตระหนักว่าเรามีความเหมือนมากกว่าความต่าง  แม้จะต่างความคิด ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ แต่เหนืออื่นใดเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน รักสุขเกลียดทุกข์เช่นเดียวกัน  ความรู้สึกเช่นนี้แหละที่จะทำให้เราเห็นใจกัน และมีความเอื้ออาทรต่อกันมากขึ้น

ควบคู่กับขันติธรรมและเมตตาธรรม ก็คือความตระหนักว่า ความรุนแรงนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน  มันทำได้อย่างมากเพียงแค่ยุติปัญหาชั่วคราวเท่านั้น และไม่มีหลักประกันว่าปัญหาจะไม่ลุกลามเลวร้ายลง  ยิ่งใช้ความรุนแรงเพื่อขจัดความชั่วร้ายด้วยแล้ว ความชั่วร้ายมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะสิ่งที่ถูกขจัดไปคือตัวบุคคลเท่านั้น ขณะที่ผู้ใช้ความรุนแรงนั้นเองกลับจะถูกความชั่วร้ายครอบงำมากขึ้น  เช่นเดียวกับตำรวจที่ใช้ความรุนแรงกับโจรเป็นอาจิณ ในที่สุดย่อมมีพฤติกรรมเยี่ยงโจรเสียเอง กล่าวคือ  รีดไถ ปล้น หรือฆ่าผู้บริสุทธิ์ ดังเป็นข่าวอยู่เสมอ  จะสู้กับความชั่วร้ายนั้นมีวิธีเดียว คือใช้ความดี และความดีนั้นย่อมแสดงออกโดยวิธีการที่สันติ

สันติวิธีมิใช่การยอมจำนน แต่เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา  เราสามารถเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่จำต้องใช้วิธีหักโค่นทำลายล้าง หรือทำด้วยความเกลียดโกรธ แต่ทำด้วยความเมตตา นั่นคือไม่มองคู่กรณีเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด  เพราะมนุษย์นั้นหาใช่ศัตรูไม่ ความโกรธเกลียด อาฆาตพยาบาท ความโลภ และความหลงต่างหากคือศัตรูที่แท้จริง  เมตตาธรรมนั้นมีพลังในตัวเองที่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้  ในด้านหนึ่งเมตตาธรรมสามารถดึงเอาความดีงามออกมาจากใจของคู่กรณีและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้  แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเมตตาธรรมยังสามารถยกระดับจิตใจของผู้ที่ใช้สันติวิธีได้ด้วย

วัฒนธรรมที่มีขันติธรรมและเมตตาธรรมเป็นพื้นฐานนั้น นอกจากจะเรียกร้องการเปลี่ยนมุมมองต่อผู้อื่นแล้ว ยังต้องอาศัยการเปลี่ยนมุมมองต่อตนเองด้วย  นั่นคือไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง หรือเอาความเห็นของตนเองเป็นใหญ่  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือจำเป็นต้องหันมามองตนเองและรู้เท่าทันตนเองด้วยว่า ลึกๆ แล้วเราชอบแบ่งเขาแบ่งเราโดยไม่รู้ตัว  มนุษย์พร้อมจะเอาทุกอย่างมาเป็นเส้นแบ่งเขาแบ่งเรา  ถ้าไม่เอาเผ่าพันธุ์มาเป็นเส้นแบ่ง ก็เอาภาษา เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว มาแบ่งเขาแบ่งเราแทน  หรือไม่ก็เอาความคิด ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา หรือสถาบันที่สังกัด มาเป็นเส้นแบ่ง  แม้แต่สิ่งดีงามเช่นความดีหรือศีลธรรม ก็ไม่เว้นที่จะถูกเอามาใช้เป็นเส้นแบ่งด้วยเช่นกัน

การแบ่งดีแบ่งชั่วชัดเจนว่า พวกฉันดี พวกแกเลว เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผู้คนขาดขันติธรรม  เพราะเมื่อสรุปว่าอีกฝ่ายเลวเสียแล้ว ก็ไม่ต้องสนใจฟังมัน  และเมื่อมันชั่ว ก็ต้องจัดการกับมันอย่างไม่ต้องปรานีปราศรัย  เมื่อสาวให้ลึกลงไปจะพบว่าสัญชาตญาณที่ชอบแบ่งเขาแบ่งเรานั้นมิได้มาจากอะไรอื่น หากเกิดจากความสำคัญมั่นหมายในตัวตน หรือความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู”  ความสำคัญมั่นหมายดังกล่าวนี้เองที่ทำให้เราชอบยึดเอาสิ่งต่างๆ มาเป็น “ของกู” โดยไม่รู้ตัว รวมทั้งแสวงหากลุ่มสังกัดเพื่อจะได้ยึดหมายว่าเป็น “พวกกู” ซึ่งก็คือการผลักให้คนที่เหลือกลายเป็น “พวกมัน” ไปเสีย  จะเอาชนะสัญชาตญาณแบ่งเขาแบ่งเราได้ก็ด้วยการรู้เท่าทัน “ตัวกู ของกู” ไม่ยอมให้มันมาครอบงำจิตใจของเราง่ายๆ

ขันติธรรม เมตตาธรรม  ความใฝ่ในสันติวิธี ไม่นิยมความรุนแรง และการไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง คือสิ่งที่จะต้องทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมของสังคม  วัฒนธรรมดังกล่าวซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า “วัฒนธรรมแห่งความสมานฉันท์” เป็นสิ่งที่จะนำพาสังคมไทยหลุดจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมที่กำลังลุกลามอยู่ในปัจจุบัน  อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมดังกล่าวไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการเทศน์การสอนเท่านั้น  หากยังต้องอาศัยการรณรงค์ขับเคลื่อนทางสังคมเพื่อก่อให้เกิดสัมพันธภาพและทัศนคติอย่างใหม่ ซึ่งในที่นี้มีขอเสนอบางประการ

 

๑. ส่งเสริมให้เกิดสายสัมพันธ์ข้ามกลุ่มทั่วทั้งสังคม

การขาดขันติธรรมและเมตตาธรรมแพร่ระบาดในสังคมไทย ก็เพราะมีการสร้างกำแพงขวางกั้นระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม  แม้วิถีชีวิตของโลกสมัยใหม่ดูเหมือนจะทำให้ผู้คนกลุ่มต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งสังคมสมัยใหม่ก็มีความซับซ้อนและซอยย่อยหลากหลายมากขึ้น  การแตกตัวออกเป็นหมู่เหล่าต่างๆ มากมาย ทำให้ผู้คนสัมพันธ์กันอย่างฉาบฉวยมากขึ้น และยากที่กลุ่มต่างๆ จะรู้จักกันได้ทั่วถึง  นอกจากนั้นความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างในสังคมเมืองก็มักจะผลักดันให้ผู้คนเข้าหาสังกัดและจำกัดตัวอยู่ในกลุ่มของตน  สภาพดังกล่าวได้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนต่างๆ มากมายในสังคม (จะเรียกว่าช่องว่างทางอัตลักษณ์ก็ได้) ผลก็คือการมีทัศนคติและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมาก จนยากจะเข้าใจกันได้  แม้พูดภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน แต่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่างกัน ก็ยากที่จะสื่อสารกันให้รู้เรื่อง เพราะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเวลานี้ห่างกันไกลมาก  ไม่ต้องดูอื่นไกล แม้ในครอบครัวเดียวกัน ช่องว่างระหว่างพ่อแม่กับลูกซึ่งเป็นวัยรุ่นก็ถ่างกว้างมากจนเข้าใจกันได้ยาก  ส่วนหนึ่งเพราะดูโทรทัศน์คนละช่อง ใช้เวลาว่างคนละแบบ อยู่กับสิ่งแวดล้อม (และเทคโนโลยี) คนละแวดวง  เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนที่มีเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และท้องถิ่นที่แตกต่างกัน อาทิ คนเมืองกับชาวเขา ชาวพุทธในกรุงเทพฯ กับชาวมุสลิมในภาคใต้  ช่องว่างดังกล่าวนับวันจะทำให้เกิดเป็นปฏิปักษ์กันมากขึ้น และมีขันติธรรมกันน้อยลง

ในบริบทดังกล่าว วัฒนธรรมแห่งความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการสร้าง “สายสัมพันธ์พาดผ่าน” ระหว่างกลุ่มต่างๆ ในสังคม  เป็นสายสัมพันธ์ที่ไม่เพียงข้ามวัฒนธรรม ภาษา เชื้อชาติ เศรษฐกิจ การศึกษา และภูมิประเทศเท่านั้น  หากยังข้ามอายุ และเพศด้วย  เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ใหญ่ทุกวันนี้มีความเข้าใจเด็กและเยาวชนน้อยลงทุกที จึงลงเอยด้วยการมีทัศนคติในทางลบ และทำให้เกิดการกระทบกระทั่งและก่อความรุนแรงทางจิตใจและวาจาโดยไม่รู้ตัว

สายสัมพันธ์พาดผ่านนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อให้คนต่างกลุ่มต่างอัตลักษณ์มารู้จักกัน  ที่ดีกว่านั้นก็คือ มาใช้ชีวิตร่วมกัน และทำงานด้วยกัน  หน่วยงานของรัฐ องค์กรธุรกิจ และองค์กรภาคประชาชน ควรร่วมกันจัดทำโครงการระดับชาติเพื่อสร้างสายสัมพันธ์พาดผ่านชนิดที่ครอบคลุมทั้งประเทศ  โดยอาศัยกิจกรรมเช่น การประชุม สัมมนา การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การจัดค่าย  กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยได้อย่างมากคือการส่งเสริมอาสาสมัครลงไปทำงานในชุมชนที่มีอัตลักษณ์แตกต่างไปจากตน โดยไม่จำกัดเฉพาะคนหนุ่มสาว แต่ควรรวมผู้มีอายุด้วย  โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้จากกันและกันเพื่อสร้างสมานฉันท์ระหว่างคนในชาติ นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือชุมชนที่ยากไร้

สื่อมวลชนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการดังกล่าวได้ด้วยการนำเสนอเรื่องราวของคนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีอำนาจควบคุมสื่อ เช่น คนยากจน ชนกลุ่มน้อย  ทั้งนี้เพื่อให้คนส่วนใหญ่เข้าใจปัญหาและมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ  กรณีแม่ใหญ่ไฮเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า สื่อมวลชนมีอำนาจที่จะทำให้ผู้คนเกิดความเห็นใจคนยากไร้ได้ไม่น้อย แม้จะยังมองไม่เห็นถึงสาเหตุเชิงโครงสร้างก็ตาม

 

๒. เสริมสร้างกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งในสังคม

ผู้คนมีอคติต่อกันส่วนหนึ่งก็เพราะไม่สามารถฟังผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง  ผู้คนมักจะเบียดเบียนกันส่วนหนึ่งก็เพราะไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับความขัดแย้งโดยสันติวิธี  ด้วยเหตุนี้กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธีจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรเผยแพร่ให้รู้จักกันมากๆ ถ้าจะให้ดีควรส่งเสริมให้มีขึ้นตั้งแต่ในระดับโรงเรียน  ในสหรัฐอเมริกา มีโรงเรียนประถมและมัธยมนับพันๆ แห่งที่จัดอบรมทักษะการแก้ไขความขัดแย้งแก่นักเรียน เพื่อจะได้รู้จักวิธีการสื่อสาร การฟังอย่างตั้งใจ การจัดการกับความโกรธ และการหาทางออกร่วมกัน  โรงเรียนบางแห่งถึงกับจัดตั้งศูนย์จัดการความขัดแย้งขึ้น โดยมีนักเรียนเป็นอาสาสมัครในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทบาดหมางระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน [2]

ประสบการณ์ในหลายประเทศบ่งชี้ว่า การจัดการความขัดแย้งมิใช่เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน แม้แต่นักเรียนหรือเด็กๆ ก็สามารถทำได้ เพราะอาศัยทัศนคติในทางบวกและทักษะพื้นๆ บางประการเท่านั้น อาทิ การรู้จักฟัง การเปิดใจกว้าง และความเห็นอกเห็นใจ

สถาบันการศึกษาในประเทศไทยควรมีการอบรมทักษะการจัดการความขัดแย้งให้แก่นักเรียน ครู  ขณะเดียวกันควรมีการอบรมให้แก่บุคคลภายนอกด้วย  แน่นอนว่าทักษะดังกล่าวต้องมีทัศนคติที่เกื้อกูลเป็นพื้นฐานด้วย  จะพัฒนาทักษะให้ได้ผล ก็ต้องพัฒนาทัศนคติ อันได้แก่ความใจกว้างและความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งก็คือขันติธรรมและเมตตาธรรมนั่นเอง  นอกจากสถาบันการศึกษาแล้ว หน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย เพราะทุกหน่วยงานย่อมหนีไม่พ้นความขัดแย้ง  เป็นที่น่ายินดีที่หน่วยงานภาครัฐของไทยได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น อาทิ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจัดให้มีการวิจัยและอบรมด้านนี้แก่บุคลากรอย่างจริงจังในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา

หากมีการเผยแพร่กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธีไปทั่วทั้งสังคม ผู้คนจะเข้าใจสันติวิธีดีขึ้น และมีทักษะในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกันขันติธรรมและเมตตาธรรมก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นด้วย

ความสำเร็จของการใช้สันติวิธีแก้ไขปัญหาทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และระดับประเทศ เป็นประเด็นที่สื่อมวลชนควรให้ความสนใจ เพื่อช่วยให้คนส่วนใหญ่ในสังคมตระหนักว่ายังมีวิธีอื่นที่ทรงประสิทธิภาพและให้ผลยั่งยืนกว่าความรุนแรง

 

๓. สร้าง “จิตใหญ่” และสำนึกไทยที่ไม่คับแคบ

“จิตใหญ่” คือจิตที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดติดตันอยู่กับผลประโยชน์ของตัว  เป็นจิตที่ไม่ตีกรอบจำกัดวงอย่างคับแคบ ว่าคนกลุ่มนี้พวกนี้เท่านั้นที่เป็นพวกของตน  หากรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับมวลมนุษย์ในโลกแม้จะต่างเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา หรือความเชื่อ  เห็นมนุษย์ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมโลกหรือเพื่อนร่วมทุกข์ที่ควรมีความเอื้ออาทรต่อกัน

องค์กรศาสนาควรส่งเสริมให้ผู้คนมีจิตใหญ่  แทนที่จะเอาศาสนามาเป็นเส้นแบ่ง ควรช่วยให้ศาสนิกชนไปพ้นเส้นแบ่งทั้งหลาย เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาที่เห็นมนุษย์ทั้งปวงเป็นพี่น้องกัน  โดยเฉพาะพุทธศาสนาซึ่งไปลึกถึงขั้นตั้งคำถามกับสำนึกเรื่องตัวตน น่าจะมีบทบาทในการช่วยให้พุทธศาสนิกชนรู้เท่าทันความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ซึ่งเป็นตัวการที่ชอบแบ่งเขาแบ่งเรา โดยเอาศาสนา ภาษา เชื้อชาติ เศรษฐกิจ การศึกษา และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย มาเป็นเครื่องมือ

สถาบันการศึกษาตลอดจนองค์กรต่างๆ ในภาคประชาชนสามารถมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ด้วยการสร้างสายสัมพันธ์แห่งไมตรีจิตมิตรภาพระหว่างคนไทยกับคนชาติอื่นๆ ดังที่เครือข่ายองค์กรสันติภาพในไทย ได้จัดทำโครงการปันน้ำใจให้เด็กอิรัก แม้จะเป็นโครงการเฉพาะกิจก็ตาม  นอกจากการขยายจิตสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ให้กว้างไกลแล้ว การขยายจิตสำนึกแห่งความเป็นไทยให้กว้างขวางก็สำคัญ

ดังได้กล่าวแล้วว่าความเป็นไทยที่คับแคบ เป็นความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งวันนี้มีบทบาทไม่น้อยในการก่อความรุนแรงขึ้นในภาคใต้  การพยายามบังคับให้ผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้นับถือพุทธศาสนาและพูดภาษาไทยเพื่อจะได้เป็นไทยตามนิยามของรัฐ ได้สร้างความบีบคั้นแก่ผู้คนที่นั่นมาหลายสิบปี  แม้เวลานี้แรงบีบคั้นดังกล่าวจะบรรเทาเบาบางลง แต่ความรังเกียจเดียดฉันท์คนที่นั่นว่าไม่ใช่คนไทยเพราะไม่ยอมเปลี่ยนวัฒนธรรมให้เป็นไทยตามนิยามที่คับแคบ ก็ทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นพลเมืองชั้นสองไปโดยปริยาย  ซึ่งในที่สุดความคับแค้นก็ประทุออกมาเป็นความรุนแรงโดยคนจำนวนหนึ่ง

ทางออกย่อมไม่ใช่การผลักไสให้คนเหล่านั้นไปอยู่ประเทศอื่นอย่างที่หลายคนอยากจะเห็น  ทางออกที่แท้จริงคือการเปลี่ยนสำนึกหรือนิยามความเป็นไทยเสียใหม่ ให้ครอบคลุมถึงคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ที่เกิดในผืนแผ่นดินนี้  ครอบคลุมถึงคนทุกคนที่ปรารถนาจะฝากปัจจุบันและอนาคตไว้บนผืนแผ่นดินนี้ แม้จะมีอดีตหรือความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกันก็ตาม  พูดอีกนัยหนึ่ง แม้บรรพบุรุษจะไม่ได้มาจากเทือกเขาอัลไต ก็มีสิทธิเป็นคนไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ใช่แต่เท่านั้น แม้แต่คนจนก็ต้องได้รับการนับรวมให้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยด้วย  นั่นหมายความว่าปัญหาของคนจนก็ต้องถือว่าเป็นปัญหาของชาติด้วย  ไม่ใช่เรียกร้องให้คนจนเสียสละเพื่อชาติ ซึ่งเมื่อสาวไปถึงที่สุดแล้ว “ชาติ” ที่ว่าก็คือคนกลุ่มเล็กๆ ในเมืองที่มีอำนาจเงินและการเมืองอยู่ในมือนั่นเอง

สำนึกความเป็นไทยจะพ้นจากความคับแคบได้  นอกจากจะต้องอาศัยการแย่งชิงคำนิยามเพื่อไม่ให้ถูกผูกขาดโดยรัฐหรือผู้มีอำนาจ  และการเชื่อมโยงคนไทยต่างกลุ่มต่างอัตลักษณ์ให้มารู้จักกันและเข้าใจกันแล้ว  อีกปัจจัยที่สำคัญก็คือการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดความเป็นไปของชาติ รวมทั้งการกำหนดชะตากรรมของตนเองด้วย  ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พื้นที่ทางการเมืองเปิดสำหรับทุกคน  ทุกคนมีสิทธิที่ประท้วงคัดค้านเพื่อปกป้องวิถีชีวิตของตน มีสิทธิใช้ท้องถนนและสื่อมวลชนเป็นเวทีสำหรับการแสดงออกซึ่งความทุกข์ร้อนของตน  ด้วยวิธีนี้ชาติจึงจะเป็นของทุกคน และทุกคนจะรู้สึกว่าตนเป็นคนไทยอย่างแท้จริง


หมายเหตุ


ภาพประกอบ

พระไพศาล วิสาโล

ผู้เขียน: พระไพศาล วิสาโล

เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต และประธานมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา