ย้อนหลังไปเมื่อ ๕๐ ปีก่อน มีชาวอเมริกันน้อยคนมากที่รู้จักประเทศธิเบต อย่าว่าแต่พุทธศาสนาแบบธิเบตเลย แต่ผ่านไปไม่ถึง ๒ ทศวรรษ ศูนย์ภาวนาแบบธิเบตนับร้อยได้ผุดขึ้นในสหรัฐอเมริกา จนทุกวันนี้พุทธศาสนาแบบธิเบตกลายเป็นที่รู้จักของผู้คนในประเทศนี้ บุคคลที่มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานของพุทธศาสนาแบบธิเบตในประเทศดังกล่าว นอกจากเชอเกียม ตรุงปะ และท่านกรรมปะแล้ว อีกผู้หนึ่งย่อมได้แก่ ลามะ เยเช่
สหรัฐอเมริกาในทศวรรษ ๑๙๖๐ นั้น คนหนุ่มสาวจำนวนมากปฏิเสธศาสนาและไม่ยอมรับนับถืออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พิธีกรรม และระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งหลาย แต่ท่านลามะ เยเช่ สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจพุทธศาสนาแบบธิเบตหรือวัชรยานได้ จุดเด่นของท่านคือ แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการอธิบายหลักธรรมของพุทธศาสนา ท่านถามคนเหล่านั้นว่า คุณทำสองอย่างนี้ได้ไหม ๑) หายใจเข้าและออก ๒) มีเมตตากรุณา ถ้าทำได้ทั้งสองประการก็เพียงพอแล้วสำหรับการปฏิบัติธรรม หรืออย่างน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้นการพัฒนาชีวิตด้านในให้โปร่งเบา
หากใครสงสัยว่าทั้งสองประการสำคัญอย่างไร ท่านก็จะอธิบายว่าการมีสติกับลมหายใจเข้าและออกนั้นสามารถเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับร่างกายและชีวิตของเรา ส่วนการบ่มเพาะเมตตากรุณานั้นจะช่วยเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลกได้
วิธีการสอนของท่านไม่เรียกร้องให้ผู้เรียนต้องนับถือพระรัตนตรัย เชื่อในพระนิพพาน เข้าใจอริยสัจสี่ หรือสมาทานศีลก่อน หากเริ่มต้นจากจุดที่ทำได้ง่ายที่สุดหรือสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องถกเถียงกันในเรื่องปรัชญาหรือต้องผ่านพิธีรีตองก่อน
การชักชวนคนทำสิ่งดีงามนั้น ควรเริ่มต้นจากจุดที่เขาทำได้เลย เขาสามารถ (หรือพร้อม) ทำได้แค่ไหนก็เริ่มต้นจากตรงนั้น ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดคือผู้ที่สามารถทำให้ศิษย์ (โดยเฉพาะผู้ใหม่) เห็นว่าความดีเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความสำเร็จของครูบาอาจารย์อยู่ที่การยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น มิใช่เรียกร้องให้เขาเป็นอย่างที่ครูอยากให้เป็นเสียก่อน
คราวหนึ่งมีศิษย์มากราบหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ (วัดสะแก อยุธยา) ศิษย์ผู้นั้นมีนักเลงเหล้าตามมาด้วย เมื่อสนทนากันได้พักหนึ่ง ศิษย์ผู้นั้นได้ชักชวนเพื่อนให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับทำสมาธิภาวนา นักเลงเหล้าผู้นั้นแย้งต่อหน้าหลวงปู่ว่า “จะให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ” หลวงปู่ดู่แทนที่จะคาดคั้นหรือคะยั้นคะยอเขา กลับตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ” ชายผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ ๕ นาทีไม่ใช่เรื่องยาก จึงรับคำหลวงปู่
นับแต่วันนั้นเขาก็นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอตามที่รับปากเอาไว้ ไม่ขาดแม้แต่วันเดียว บางวันถึงกับงดกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติพอดี เมื่อได้สัมผัสกับความสงบจากสมาธิภาวนาเขาก็มีความสุข จึงโหยหาเหล้าน้อยลง จนในที่สุดก็เลิกเหล้าไปโดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ละชีวิตทางโลก อุปสมบทเป็นพระภิกษุและมุ่งมั่นกับการปฏิบัติธรรม
คงมีภิกษุเคร่งศีลน้อยรูปที่จะบอกฆราวาสว่า “เอ็งจะกิน (เหล้า) ก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า” แต่หลวงปู่รู้ดีว่าการขอร้องให้เขาเลิกเหล้านั้นเป็นเรื่องยาก ดังนั้นแทนที่ท่านจะห้ามเขากินเหล้า ท่านกลับขอให้เขาทำสิ่งที่ง่ายกว่านั้นคือ นั่งสมาธิแค่วันละ ๕ นาที ท่านรู้ดีว่าใครที่ทำสมาธิภาวนาทุกวันแม้จะไม่กี่นาที ไม่นานก็จะเห็นอานิสงส์ของการปฏิบัติ และปฏิบัตินานขึ้นเอง จนเลิกเหล้าได้ในที่สุด
การชักชวนคนทำสิ่งดีงาม ควรเริ่มต้นจากจุดที่เขาพร้อมและสามารถทำได้เลย เพื่อให้เขาเห็นว่าความดีเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
ทุกวันนี้เรามักได้ยินเสียงบ่นว่าคนทำชั่วมากขึ้น ทำดีน้อยลง สาเหตุสำคัญนั้นไม่ใช่เป็นเพราะคนทุกวันนี้มีนิสัยเลวร้ายกว่าคนแต่ก่อน แต่เป็นเพราะปัจจุบันการทำชั่วนั้นทำได้ง่าย ส่วนการทำดีกลับทำได้ยาก เหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนั้นมีมากมาย สภาพสังคมเศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยหนึ่ง (เช่น สื่อที่กระตุ้นให้อยากมากกว่าส่งเสริมให้รู้จักพอ, พื้นที่เสี่ยง เช่น ผับ บาร์ ร้านเหล้า หาได้ง่ายกว่าพื้นที่ดี เช่น ห้องสมุด สนามกีฬา หรือสถานปฏิบัติธรรม, การสอบเข้าโดยใช้เส้นสายทำได้ง่ายกว่าการสอบเข้าด้วยความสามารถ) อย่างไรก็ตามอีกปัจจัยหนึ่ง แม้ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด แต่ก็มีอิทธิพลไม่น้อย นั่นคือ วิธีการสอนศีลธรรม ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะเยาวชนรู้สึกว่าการทำดีนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก เช่น กว่าจะสมาทานศีลได้ก็ต้องผ่านพิธีกรรมต่างๆ มากมาย อีกทั้งต้องกราบไหว้ให้ถูกต้องตามหลักเบญจางคประดิษฐ์ ที่สำคัญคือต้องมีพระเป็นผู้ให้ศีล หากไม่มีพระให้ศีล ก็สมาทานไม่ได้ เป็นต้น ทั้งๆ ที่การสมาทานศีลนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ทุกที่ทุกเวลา
พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าพิธีกรรมไม่มีประโยชน์ พิธีกรรมนั้นมีประโยชน์อย่างแน่นอน อาทิ ช่วยเตรียมใจให้เกิดความพร้อมในการทำความดี แต่ทุกวันนี้พิธีกรรมมักจะถูกยกให้มีความสำคัญจนกลายเป็นสิ่งกีดขวางการทำความดีไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่รู้สึกเหินห่างกับพิธีกรรม หลายคนจึงรู้สึกว่าการสมาทานศีลนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าการไปเที่ยวห้างหรือการมั่วสุมกัน
การทำสมาธิภาวนาก็เช่นกัน มักถูกทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน ต้องผ่านพิธีกรรมมากมาย หรือมีเงื่อนไขหลายประการ ทั้งๆ ที่สมาธิภาวนาเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ขอเพียงแต่มีลมหายใจและความรู้สึกตัวก็พอแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดสามารถทำให้สมาธิภาวนากลายเป็นของง่าย ใครๆ ก็ทำได้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทั้งนี้โดยเริ่มจากสิ่งที่เขามีอยู่ หรือเป็นอยู่ (แทนที่จะเริ่มจากจุดที่เขาควรจะเป็น เช่น ต้องละเลิกสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือมีนั่นมีนี่เสียก่อนจึงจะปฏิบัติได้)
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงปู่ขาว อนาลโยว่า เช้าวันหนึ่งมีโยมพาหลานวัย ๓ ขวบมาถวายอาหารให้ท่าน เด็กเห็นเงาะในฝาบาตรของหลวงปู่ ก็อยากกิน หลวงปู่รู้ว่าเด็กคิดอะไรอยู่ จึงเรียกมานั่งใกล้ๆ แล้วถามว่า อยากกินเงาะไหม เด็กตอบว่า อยากกิน หลวงปู่จึงบอกว่า มาแลกกัน ถ้าหนูนั่งสมาธิให้หลวงปู่เห็น หลวงปู่จะให้เงาะทั้งฝาบาตรเลย เด็กถามว่า นั่งสมาธิทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำว่า ให้นั่งขัดสมาธิ ขวาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย พร้อมกับหลับตาและภาวนาไปด้วย เด็กถามต่อว่า ภาวนาทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำเป็นภาษาอีสานว่า “ให้ภาวนาว่า หมากเงาะ หมากเงาะ”
ด้วยความอยากกินเงาะ เด็กจึงนั่งสมาธิ และภาวนาว่า “หมากเงาะๆๆ ” ทีแรกเด็กภาวนาพลางเลียริมฝีปากไปพลางเพราะอยากกินเงาะมาก แต่ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิ รู้สึกสบาย สงบ เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง มาลืมตาอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังขึ้น เห็นแต่หลวงปู่นั่งสมาธิอยู่ไม่มีใครในศาลาเลย ผู้คนหายไปหมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว เสียงระฆังดังขึ้นเพื่อเรียกพระเณรมากวาดลานวัด แสดงว่าเด็กนั่งสมาธิเป็นเวลานานถึง ๘ ชั่วโมง
เด็กอยากกินเงาะก็จริง แต่หลวงปู่ก็รู้ว่าความอยากนั้นสามารถส่งเสริมให้เกิดสมาธิได้หากใช้ให้เป็น เด็กไม่จำเป็นต้องลดละความอยากเสียก่อนจึงจะภาวนาได้ ขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องภาวนาว่า “พุท-โธ” อย่างที่นิยมทำกันก็ได้ ภาวนาว่า “หมากเงาะ” ก็ใช้ได้เช่นกัน
พิธีกรรมนั้นมีประโยชน์อย่างแน่นอน แต่ทุกวันนี้พิธีกรรมมักจะถูกยกให้มีความสำคัญจนกลายเป็นสิ่งกีดขวางการทำความดีไปโดยไม่รู้ตัว
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ก็มีประสบการณ์คล้ายกัน มีพระบวชใหม่รูปหนึ่งทำสมาธิภาวนาไม่ได้เลย หลับตาทีไรก็เห็นหน้าแฟนทุกที เมื่อหลวงพ่อทราบปัญหาของเขา แทนที่จะแนะนำให้เขากดข่มหรือเลิกคิดถึงแฟน ก็ให้เขาภาวนาโดยนึกถึงชื่อของแฟนอยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าก็บริกรรมชื่อแฟน หายใจออกก็บริกรรมชื่อแฟน ในที่สุดจิตของเขาก็สงบ จิตเป็นสมาธิ
ตัณหานั้นถ้าใช้ให้เป็นก็มีประโยชน์ ในสมัยพุทธกาลมีหลายท่านที่บรรลุธรรมก็เพราะมีตัณหาเป็นแรงผลักดันให้เข้าหาธรรม บางท่านมาฟังธรรมจากพระพุทธองค์เพราะเห็นแก่ค่าจ้างจากพ่อ (บุตรชายอนาถบิณฑิกเศรษฐี) บางท่านบำเพ็ญสมณธรรมเพราะอยากเห็นนางฟ้าที่งดงามยิ่งกว่าคู่หมั้นของตน (พระนันทะ) บางท่านตัดสินใจบวชต่อเมื่อนึกถึงความยากลำบากหากสึกไปเป็นฆราวาส (พระนังคลกูฏะ)
แม้ไม่มีศรัทธาในศาสนา สงสัยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ หรือถึงจะยังมีกิเลสมากมาย สิ่งเหล่านี้หาได้เป็นสิ่งกีดขวางหนทางสู่การปฏิบัติธรรมหรือการทำความดีไม่ ใช่แต่เท่านั้น หากรู้จักใช้ มันกลับจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรม หรือส่งเสริมการทำความดีด้วยซ้ำ ครูบาอาจารย์ที่ฉลาดย่อมไม่เกี่ยงงอนหรือเรียกร้องให้เขาละทิ้งสิ่งเหล่านั้นเสียก่อนถึงค่อยแนะนำธรรมแก่เขา เพราะไม่ว่าเริ่มจากจุดไหน ก็สามารถก้าวหน้าบนเส้นทางธรรมได้ทั้งนั้น
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าอะไรที่เกิดกับเรา ล้วนมีส่วนช่วยบ่มเพาะธรรมในใจเราให้งอกงามได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ความทุกข์ ความเจ็บป่วยหรือเคราะห์กรรมทั้งปวง ความทุกข์นั้นมีประโยชน์เสมออย่างน้อย ๓ ประการคือ ๑. สอนใจเรา (เช่น สอนเรื่องความไม่เที่ยง ชี้ให้เห็นโทษของโลภะ โทสะ โมหะ หรือสอนว่าสรรเสริญกับนินทาเป็นของคู่กัน) ๒. เตือนใจเรา (ให้ไม่ประมาท ไม่เพลินในโลกธรรม) ๓.ฝึกใจเรา (ให้มีความอดทน รู้จักปล่อยวาง รู้จักให้อภัย หรือมีสติอยู่เสมอ)
แม้แต่เมตตากรุณาก็สามารถบ่มเพาะให้งอกงามได้โดยอาศัยความเจ็บป่วย วิธีการอย่างหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ธิเบตแนะนำแก่ผู้ป่วยก็คือ ให้ถือว่าตนกำลังรับเอาโรคภัยไข้เจ็บและความทุกข์ของสรรพสัตว์มาไว้ที่ตัวเอง เพื่อสรรพสัตว์จะได้บรรเทาจากความทุกข์ ขณะเดียวกันก็เพื่อทำลายความเห็นแก่ตัวในใจตน การน้อมใจดังกล่าวทำให้จิตเกิดเมตตากรุณา คิดถึงตนเองน้อยลง และนึกถึงผู้อื่นมากขึ้น อานิสงส์จากเมตตากรุณาดังกล่าวทำให้ความทุกข์ใจมีน้อยลง ในหลายกรณียังสามารถเยียวยาร่างกายให้บรรเทาหรือหายเจ็บป่วยด้วยซ้ำ
ในการชักนำผู้คนสู่ธรรมหรือความดี สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น มิใช่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่เขาควรเป็น แทนที่จะมองว่าเขายังขาดอะไรอยู่บ้าง ควรมองว่าเขามีอะไรอยู่บ้าง หรือพร้อมจะทำอะไรได้บ้าง แล้วใช้สิ่งนั้นเป็นสื่อพาเขาเข้าหาธรรมหรือความดีที่สูงขึ้นไปเป็นลำดับ โดยไม่ควรให้พิธีกรรมหรือสูตรสำเร็จของคนดีเป็นอุปสรรค
ความดีนั้นทำได้ง่าย แต่เป็นเพราะผู้สอนนั้นติดยึดในรูปแบบ หรือสูตรสำเร็จ จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าความดีทำได้ยาก จึงเบือนหน้าหนีจากความดีไปอย่างน่าเสียดาย